ความรู้สำหรับครู-๒
....นายปณิธาน เรืองไชย ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดถ้ำวราราม
สพป.สุราษฎร์ธานี เขต ๒
-----------------------------------------------------------
การบริหารงบประมาณ
การบริหารและการจัดการศึกษาของโรงเรียนนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อให้โรงเรียน จัดการศึกษาอย่างเป็นอิสระ คล่องตัว สามารถบริหารการจัดการศึกษาได้สะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และมีความรับผิดชอบ โรงเรียนนิติบุคคล นอกจากมีอำนาจหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ข้างต้นแล้ว ยังมีอำนาจหน้าที่ ตามที่ กฎระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการบริหารจัดการและขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ ของโรงเรียนขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา
พ.ศ.2546 ลงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 กฎหมายการศึกษาแห่งชาติ และกฎหมายระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการจึงกำหนดให้ โรงเรียนนิติบุคคลมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
1. ให้ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้แทนนิติบุคคลในกิจการทั่วไปของโรงเรียนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอก
2. ให้โรงเรียนมีอำนาจปกครอง
ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สิน ที่มีผู้บริจาคให้ เว้นแต่การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้บริจาคให้โรงเรียนต้องได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียน
3. ห้โรงเรียนจดทะเบียนลิขสิทธิ์หรือดำเนินการทางทะเบียนทรัพย์สินต่างๆ ที่มีผู้อุทิศให้ หรือโครงการซื้อ แลกเปลี่ยนจากรายได้ของสถานศึกษาให้เป็นกรรมสิทธิ์ของสถานศึกษา
4. กรณีโรงเรียนดำเนินคดีเป็นผู้ฟ้องร้องหรือถูกฟ้องร้อง ผู้บริหารจะต้องดำเนินคดีแทน สถานศึกษาหรือถูกฟ้องร่วมกับสถานศึกษา ถ้าถูกฟ้องโดยมิได้อยู่ ในการปฏิบัติราชการ ในกรอบ อำนาจ ผู้บริหารต้องรับผิดชอบเป็นการเฉพาะตัว
5.โรงเรียนจัดทำงบดุลประจำปีและรายงานสาธารณะทุกสิ้นปีงบประมาณ
1.งบประมาณที่สถานศึกษานำมาใช้จ่าย
1.1 แนวคิดการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษามุ่งเน้นความเป็นอิสระ ในการบริหารจัดการมีความคล่องตัว โปร่งใส ตรวจสอบได้ ยึดหลักการบริหารมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์และบริหารงบประมาณ แบบมุ่งเน้นผลงาน
ให้มีการจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของสถานศึกษา รวมทั้งจัดหารายได้ จากบริการมาใช้บริหารจัดการเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ส่งผลให้เกิดคุณภาพที่ดีขึ้นต่อผู้เรียน
1.2 วัตถุประสงค์ เพื่อให้สถานศึกษาบริหารงานด้านงบประมาณมีความเป็นอิสระ คล่องตัว โปร่งใส
ตรวจสอบได้
1.2.1 เพื่อให้ได้ผลผลิต ผลลัพธ์เป็นไปตามข้อตกลงการให้บริการ
1.2.2 เพื่
อให้สถานศึกษาสามารถบริหารจัดการทรัพยากรที่ ได้อย่ างเพียงพอและ มีประสิทธิภาพ
1.3 ขอบข่ายภารกิจ
1.3.1 กฎหมาย ระเบียบ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
1) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่2) พ.ศ. 2545
2) พระราชบัญญัติบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546
3) ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2545
4) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
5) แนวทางการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาและสถานศึกษา ตามกฎกระทรวง
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา พ.ศ.2550
2.รายจ่ายตามงบประมาณ จำแนกออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
2.1 รายจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
(1) งบบุคลากร
(2) งบดำเนินงาน
(3) งบลงทุน
(4) งบเงินอุดหนุน
(5) งบรายจ่ายอื่น
งบบุคลากร
หมายถึงรายจ่ายที่ กำหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ได้แก่ รายจ่ายที่จ่ายในลักษณะเงินเดือน
ค่าจ้างประจำ ค่าจ้างชั่วคราว และค่าตอบแทนพนักงานราชการ รวมถึงรายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นใดในลักษณะรายจ่ายดังกล่าว
งบดำเนินงาน
หมายถึง รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานประจำ ได้แก่ รายจ่าย ที่จ่ายในลักษณะค่าตอบแทน
ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ และค่าสาธารณูปโภค รวมถึงรายจ่ายที่กำหนด ให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นใดในลักษณะรายจ่ายดังกล่าว
งบลงทุน
หมายถึง รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเพื่อการลงทุน ได้แก่ รายจ่ายที่จ่ายในลักษณะ ค่าครุภัณฑ์ ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง รวมถึงรายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นใดในลักษณะ รายจ่ายดังกล่าว
งบเงินอุดหนุน
หมายถึง รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเป็นค่าบำรุงหรือเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนงาน ของหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมิใช่ส่วนกลางตาม พ.ร.บ.ระเบียบ บริหารราชการแผ่นดิน หน่วยงานในกำกับของรัฐ
องค์การมหาชน รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
รวมถึงเงินอุดหนุน งบพระมหากษัตริย์ เงินอุดหนุนศาสนา
งบรายจ่ายอื่น
หมายถึง รายจ่ายที่ ไม่เข้าลักษณะประเภทงบรายจ่ายใดงบรายจ่ายหนึ่ง หรือรายจ่ายที่
สำนักงบประมาณกำหนดให้ใช้จ่ายในงบรายจ่ายนี้ เช่น เงินราชการลับ เงินค่าปรับที่จ่ายคืนให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้าง ฯลฯ
อัตราเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนต่อปีการศึกษา
1.ระดับก่อนประถมศึกษา 1,700 บาท
2.ระดับประถมศึกษา
1,900 บาท
3.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3,500 บาท
4.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 3,800 บาท
การจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน
แบ่งการใช้ตามสัดส่วน ด้านวิชาการ:
ด้านบริหารทั่วไป : สำรองจ่ายทั้ง 2 ด้าน คือ
1.ด้านวิชาการให้สัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 นำไปใช้ได้ในเรื่อง
1.1 จัดหาวัสดุและครุภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการเรียนการสอน
1.2 ซ่อมแซมวัสดุอุปกรณ์
1.3 การพัฒนาบุคลากรด้านการสอน เช่น ส่งครูเข้าอบรมสัมมนา ค่าจ้างชั่วคราวของครู ปฏิบัติการสอน
ค่าสอนพิเศษ
2.ด้านบริหารทั่วไป ให้สัดส่วนไม่เกินร้อยละ 30
นำไปใช้ได้ในเรื่อง
2.1 ค่าวัสดุ ครุภัณฑ์และค่าที่ดิน สิ่งก่อสร้าง ค่าจ้างชั่วคราวที่ ไม่ใช่ปฏิบัติการสอน ค่าตอบแทน
ค่าใช้สอย
3.สำรองจ่ายนอกเหนือด้านวิชาการและด้านบริหารทั่วไป ให้สัดส่วนไม่เกินร้อยละ 20
นำไปใช้ในเรื่องงานตามนโยบาย
เงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานสำหรับนักเรียนยากจน
1.เป็นเงินที่จัดสรรให้แก่สถานศึกษาที่มีนักเรียนยากจน เพื่อจัดหาปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อ การดำรงชีวิตและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา เป็นการช่วยเหลือนักเรียนที่ยากจน ชั้น ป.1 ถึง ม.3 ให้มี โอกาสได้รับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น(ยกเว้นสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ)
2. นักเรียนยากจน หมายถึง นักเรียนที่ผู้ปกครองมีรายได้ต่อครัวเรือน ไม่เกิน 40,000 บาท
3.แนวการใช้ ให้ใช้ในลักษณะถัวจ่าย ในรายการต่อไปนี้
3.1 ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน(ยืมใช้)
3.2 ค่าเสื้อผ้าและวัสดุเครื่องแต่งกายนักเรียน(แจกจ่าย)
3.3 ค่าอาหารกลางวัน(วัตถุดิบ จ้างเหมา เงินสด)
3.4 ค่าพาหนะในการเดินทาง (เงินสด จ้างเหมา)
3.5 กรณีจ่ายเป็นเงินสด โรงเรียนแต่งตั้งกรรมการ 3 คน ร่วมกันจ่ายเงินโดยใช้ใบสำคัญ
รับเงินเป็นหลักฐาน
3.6 ระดับประถมศึกษา คนละ 1,000 บาท/ปี
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คนละ 3,000 บาท/ปี
2.2 รายจ่ายงบกลาง หมายถึง รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อจัดสรรให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยทั่วไปใช้จ่ายตามรายการดังต่อไปนี้
(1) “เงินเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ” หมายความว่า รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อจ่ายเป็นเงิน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ
เงินบำเหน็จลูกจ้างประจำ เงินทำขวัญข้าราชการและลูกจ้าง เงินทดแทน ข้าราชการวิสามัญ เงินค่าทดแทนสำหรับผู้ได้รับอันตรายในการรักษาความมั่นคงของประเทศ เงินช่วยพิเศษข้าราชการบำนาญเสียชีวิต เงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติหรือการปฏิบัติตามหน้าที่
มนุษยธรรม และเงินช่วยค่าครองชีพ
ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ
(2) “เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ” หมายความว่า รายจ่าย ที่ตั้งไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินสวัสดิการช่วยเหลือในด้านต่างๆ ให้แก่ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ ได้แก่เงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตร
เงินช่วยเหลือบุตร และเงินพิเศษในกรณีตายในระหว่างรับราชการ
(3) “เงินเลื่อนขั้นเลื่อนอันดับเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ หมายความว่า รายจ่ายที่
ตั้งไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินเลื่อนขั้นเลื่อนอันดับเงินเดือนข้าราชการประจำปี เงินเลื่อนขั้น เลื่อนอันดับเงินเดือนข้าราชการที่
ได้รับเลื่อนระดับ และหรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระหว่างปี
และเงินปรับวุฒิข้าราชการ
(4) “เงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชยของข้าราชการ” หมายความว่า รายจ่าย ที่ ตั้งไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชยที่
รัฐบาลนำส่งเข้ากองทุนบำเหน็จ บำนาญข้าราชการ(กบข.)
(5)“เงินสมทบของลูกจ้างประจำ” หมายความว่า รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินสมทบ ที่รัฐบาลนำส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพลูกจ้างประจำ
(6) “ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ” หมายความว่า
รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนพระราชภารกิจในการเสด็จพระราชดำเนินภายในประเทศ และหรือต่างประเทศ
และค่าใช้จ่ายในการต้อนรับประมุขต่างประเทศที่มาเยือนประเทศไทย
(7) “เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น”
หมายความว่า รายจ่ายที่ตั้งสำรองไว้ เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
(8) “ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรักษาความมั่นคงของประเทศ”
หมายความว่า รายจ่าย ที่ตั้งไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรักษาความมั่นคงของประเทศ
(9) “เงินราชการลับในการรักษาความมั่นคงของประเทศ”
หมายความว่า รายจ่าย ที่ตั้งไว้เพื่อเบิกจ่ายเป็นเงินราชการลับในการดำเนินงานเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ
(10) “ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ”หมายความว่ารายจ่าย ที่ตั้งไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
(11) “ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ” หมายความว่า รายจ่ายที่ตั้งไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง ประจำ และพนักงานของรัฐ
3.เงินนอกงบประมาณ
3.1 เงินรายได้สถานศึกษา
3.2 เงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย
3.3 เงินลูกเสือ เนตรนารี
3.4 เงินยุวกาชาด
3.5 เงินประกันสัญญา
3.6 เงินบริจาคที่มีวัตถุประสงค์
เงินรายได้สถานศึกษา หมายถึง เงินรายได้ตามมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
ซึ่งเกิดจาก
1.ผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่เป็นราชพัสดุ
2.ค่าบริการและค่าธรรมเนียม ที่ไม่ขัดหรือแย้งนโยบาย วัตถุประสงค์และภารกิจหลักของสถานศึกษา
3.เบี้ยปรับจากการผิดสัญญาลาศึกษาต่อและเบี้ยปรับการผิดสัญญาซื้อทรัพย์สินหรือจ้างทำของจากเงินงบประมาณ
4.ขายแบบรูปรายการ เงินอุดหนุน อปท. รวมเงินอาหารกลางวัน
5.ค่าขายทรัพย์สินที่ ได้มาจากเงินงบประมาณ
4.งานพัสดุ
“การพัสดุ” หมายความว่า การจัดทำเอง การซื้อ การจ้าง การจ้างที่ปรึกษา การจ้างออกแบบและควบคุมงาน
การแลกเปลี่ยน การเช่า การควบคุม การจำหน่าย และการดำเนินการอื่นๆ ที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้
“พัสดุ” หมายความว่า วัสดุ ครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ที่กำหนดไว้ในหนังสือการจำแนก ประเภทรายจ่ายตามงบประมาณของสำนักงบประมาณ หรือการจำแนกประเภทรายจ่ายตามสัญญา เงินกู้จากต่างประเทศ
“การซื้อ” หมายความว่า การซื้อพัสดุทุกชนิดทั้งที่
มีการติดตั้ง ทดลอง และบริการ ที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆแต่
ไม่รวมถึงการจัดหาพัสดุในลักษณะการจ้าง
“การจ้าง”
ให้หมายความรวมถึง การจ้างทำของและการรับขนตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ และการจ้างเหมาบริการ แต่
ไม่รวมถึงการจ้างลูกจ้างของส่วนราชการตามระเบียบของกระทรวงการคลัง การรับขนในการเดินทางไปราชการตามกฎหมายว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ การจ้างที่ปรึกษา การจ้างออกแบบและควบคุมงาน
และการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
4.1 ขอบข่ายภารกิจ
4.1.1 กฎหมาย
ระเบียบ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
4.1.2 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และแก้ไขเพิ่มเติม
4.1.3
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่ าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549
4.1.4 แนวทางการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการ ทางอิเล็กทรอนิกส์พ.ศ.2549
4.2หน้าที่และความรับผิดชอบ
4.2.1 จัดวางระบบและปฏิบัติงานเกี่ยวกับจัดหา การซื้อ การจ้าง เก็บรักษา และ การเบิกพัสดุ การควบคุม
และการจำหน่ายพัสดุให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
4.2.2 ควบคุมการเบิกจ่ายเงินตามประเภทเงิน ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติราชการรายปี
4.2.3 จัดทำทะเบียนที่ดินและสิ่งก่อสร้างทุกประเภทของสถานศึกษา
4.2.4 ประสานงานและวางแผนในการใช้พื้นที่ของสถานศึกษา ให้เป็นไปตามแผน พัฒนาการศึกษา
4.2.5 กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุ การใช้และการขอใช้อาคารสถานที่ของสถานศึกษาให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องควบคุม
ดูแล ปรับปรุง ซ่อมแซม บำรุงรักษาครุภัณฑ์ ให้อยู่
ในสภาพเรียบร้อยต่อการใช้งานและพัฒนาอาคารสถานที่ การอนุรักษ์พลังงาน การรักษาสภาพแวดล้อม
และระบบสาธารณูปโภคของ สถานศึกษาให้เป็นระเบียบและสวยงาม
4.2.6 จัดเวรยามดูแลอาคารสถานที่ของสถานศึกษาให้ปลอดภัยจากโจรภัย อัคคีภัย และภัยอื่นๆ
4.2.7 จัดวางระบบและควบคุมการใช้ยานพาหนะ การเบิกจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง การบำรุงรักษาและการพัสดุต่างๆ
ที่เกี่ยวกับยานพาหนะของสถานศึกษาให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
4.2.8 ให้คำแนะนำ ชี้แจง
และอำนวยความสะดวกแก่บุคลากรในสถานศึกษาเกี่ยวกับงานในหน้าที่
4.2.9 เก็บรักษาเอกสารและหลักฐานต่างๆ ไว้เพื่อการตรวจสอบและดำเนินการ ทำลายเอกสารตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
4.2.10 ประสานงานและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา
4.2.11 เสนอโครงการและรายงานการปฏิบัติงานในหน้าที่ตามลำดับชั้น
4.2.12 ปฏิบัติงานอื่นตามที่ ได้รับมอบหมาย
5. สวัสดิการและสิทธิประโยชน์
5.1 ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
5.1.1 กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
5.1.2 พระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.2526 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
5.1.3 ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.2550
5.2 ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
การอนุมัติเดินทางไปราชการ ผู้มีอำนาจอนุมัติให้เดินทางไปราชการ อนุมัติระยะเวลา ในการเดินทางล่วงหน้า หรือระยะเวลาหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการได้ตามความจำเป็น
5.3 การนับเวลาเดินทางไปราชการเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยง
กรณีพักค้าง
5.3.1 ให้นับ 24 ชั่วโมงเป็น1 วัน
5.3.2 ถ้าไม่ถึง 24 หรือเกิน 24 ชั่วโมง และส่วนที่ ไม่ถึงหรือเกิน 24 ชั่วโมง นับได้เกิน 12 ชั่วโมง ให้ถือเป็น 1 วัน
5.4 การนับเวลาเดินทางไปราชการเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยงเดินทาง
กรณีไม่พักค้าง
5.4.1 หากนับได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง และส่วนที่ ไม่ถึงนับได้เกิน 12 ชั่วโมง ให้ถือเป็น 1 วัน
5.4.2 หากนับได้ไม่เกิน 12 ชั่วโมง แต่เกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป ให้ถือเป็นครึ่งวัน
5.5 การนับเวลาเดินทางไปราชการเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยงเดินทาง
5.6 กรณีลากิจหรือลาพักผ่อนก่อนปฏิบัติราชการ ให้นับเวลาตั้งแต่ เริ่มปฏิบัติราชการเป็นต้นไป
5.7 กรณีลากิจหรือลาพักผ่อนหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการ ให้ถือว่าสิทธิในการเบิกจ่าย เบี้ยเลี้ยงเดินทางสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นสุดเวลาการปฏิบัติราชการ
5.8 หลักเกณฑ์การเบิกค่าเช่าที่พักในประเทศ
ประเภท ก. ได้แก่
(1) การเดินทางไปราชการนอกจังหวัดพื้นที่ที่ตั้งสำนักงานซึ่งปฏิบัติราชการปกติ
(2) การเดินทางไปราชการจากอำเภอหนึ่งไปปฏิบัติราชการในอำเภอเมืองในจังหวัดเดียวกัน
ประเภท ข. ได้แก่
(1) การเดินทางไปราชการในท้องที่อื่นนอกจากที่กำหนดในประเภท ก.
(2) การเดินทางไปราชการในเขตกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานซึ่งปฏิบัติราชการปกติ
ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
สวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยายาบาล
1.พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2523 และแก้ไขเพิ่มเติม(8 ฉบับ)
2 ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษา พยาบาล พ.ศ. 2545
ผู้ที่มีสิทธิรับเงินค่ารักษาพยาบาล คือ ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว บิดา มารดา
คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งยัง
ไม่บรรลุนิติภาวะ หรือบรรลุนิติภาวะแล้วแต่เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนคนไร้ความสามารถ(ศาลสั่ง) ไม่รวมบุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมบุคคลอื่นแล้ว
ผู้ป่วยมี 2 ประเภท
ประเภทไข้นอก หมายถึง เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของทางราชการโดยไม่
ได้นอนพักรักษาตัว
นำใบเสร็จรับเงินมาเบิกจ่ายไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่จ่ายเงิน
ประเภทไข้ใน หมายถึง เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของเอกชน หรือสถานพยาบาล ของทางราชการ
สถานพยาบาลเอกชน ใช้ใบเสร็จรับเงินนำมาเบิกจ่ายเงิน พร้อมให้แพทย์รับรอง“หากผู้ป่วยมิได้เข้ารับการรักษาพยาบาลในทันทีทันใดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต”และสถานพยาบาลทางราชการ ใช้หนังสือรับรองสิทธิ
กรณียังไม่ได้เบิกจ่ายตรง
ผู้มีสิทธิ หมายถึง ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญและลูกจ้างชาวต่างประเทศซึ่งได้รับค่าจ้างจากเงินงบประมาณ
สวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร
1.พระราชราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ.2523
2.ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ.2547
ค่าการศึกษาของบุตร หมายความว่า เงินบำรุงการศึกษา หรือเงินค่าเล่าเรียน หรือเงินอื่นใด ที่สถานศึกษาเรียกเก็บและรัฐออกให้เป็นสวัสดิการกับข้าราชการผู้มีสิทธิ
ผู้ที่มีสิทธิรับเงินค่าการศึกษาของบุตร บุตรชอบโดยกฎหมายอายุไม่เกิน 25 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 1
พฤษภาคมของทุกปี ไม่รวมบุตรบุญธรรม หรือบุตรซึ่งได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมบุคคลอื่นแล้ว ใช้สิทธิเบิกได้ 3 คน
เว้นแต่บุตรคนที่ 3เป็นฝาแฝด
สามารถนำมาเบิกได้ทั้ง 4 คน
เบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับศึกษาบุตรภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันเปิดภาคเรียน
ของแต่ละภาค
จำนวนเงินที่เบิกได้
1.ระดับอนุบาลหรือเทียบเท่าเบิกได้ปีละไม่เกิน 4,650 บาท
2.ระดับประถมศึกษาหรือเทียบเท่าเบิกได้ปีละไม่เกิน 3,200 บาท
3.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น/มัธยมศึกษาตอนปลาย/หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)หรือเทียบเท่า
เบิกได้ปีละไม่เกิน 3,900 บาท
4.ระดับอนุปริญญาหรือเทียบเท่าเบิกได้ปีละไม่เกิน 11,000 บาท
บัญชีอัตราเงินวิทยฐานะสำหรับตำแหน่งครูที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
1.ครูเชี่ยวชาญพิเศษ (อันดับ คศ.5) 13,000
บาท/เดือน
2.ครูเชี่ยวชาญ (อันดับ คศ.4) 9,900 บาท/เดือน
3.ครูชำนาญการพิเศษ (อันดับ คศ.3) 5,600
บาท/เดือน
4.ครูชำนาญการ (อันดับ คศ.2) 3,500 บาท/เดือน
ค่าเช่าบ้าน
1.พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2550
2.ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2549
สิทธิการเบิกเงินค่าเช่าบ้าน
1.ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานใหม่
ในต่างท้องที่ เว้นแต่ ทางราชการได้จัดที่พักอาศัยให้อยู่แล้ว มีเคหสถานเป็นของตนเองหรือคู่สมรส หรือได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานใหม่
ในต่างท้องที่ตามคำร้องขอ
ของตนเอง ข้าราชการผู้ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานในท้องที่ที่รับราชการครั้งแรกหรือท้องที่
ที่ กลับเข้ารับราชการใหม่
ให้มีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าบ้าน
(ไม่ใช่กรณีเข้าบรรจุรับราชการครั้งแรกเป็นครูผู้ช่วย)
2.ข้าราชการมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าบ้านตั้งแต่
วันที่ เช่าอยู่ จริงแต่ ไม่ก่อนวันที่รายงานตัวเพื่อเข้ารับหน้าที่
3.ข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าบ้านได้เช่าซื้อ
หรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านที่ค้างชำระอยู่
ในท้องที่ที่ ไปประจำสำนักงานใหม่ มีสิทธินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อ หรือค่าผ่อนชำระเงินกู้ฯมาเบิกได้
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)
บำนาญ หมายความว่า
เงินที่จ่ายให้แก่ สมาชิกเป็นรายเดือนเมื่อสมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลง
บำเหน็จ หมายความว่า เงินที่จ่ายให้แก่สมาชิก โดยจ่ายให้ครั้งเดียวเมื่อสมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลง
บำเหน็จตกทอด หมายความว่า เงินที่จ่ายให้แก่ทายาทโดยจ่ายให้ครั้งเดียวในกรณี ที่สมาชิกหรือผู้รับบำนาญถึงแก่ความตาย
พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
ข้าราชการทุกประเภท (ยกเว้นข้าราชการทางการเมือง) มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิก
กบข. ได้แก่ ข้าราชการครู ข้าราชการใหม่ ได้แก่ ผู้ซึ่งเข้ารับราชการหรือโอนมาเป็นราชการตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2540
เป็นต้นไป จะต้องเป็นสมาชิก กบข. และสะสมเงินเข้ากองทุน สมาชิกที่จ่ายสะสม เข้ากองทุนในอัตราร้อยละ 3 ของเงินเดือนเป็นประจำทุกเดือน รัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบให้กับ สมาชิกในอัตราร้อยละ 3 ของเงินเดือนเป็นประจำทุกเดือนเช่นเดียวกัน และจะนำเงินดังกล่าว ไปลงทุนหาผลประโยชน์เพื่อจ่ายให้กับสมาชิกเมื่อออกจากราชการ
ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา(ช.พ.ค.)
ช.พ.ค. หมายความว่า การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากร ทางการศึกษาการจัดตั้ง ช.พ.ค.
มีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการกุศลและมีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกได้ ทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิก ช.พ.ค. ที่ถึงแก่กรรมหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพและเงินสงเคราะห์ครอบครัวให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ ช.พ.ค.กำหนด
ครอบครัวของสมาชิก ช.พ.ค. หมายถึง บุคคลตามลำดับ ดังนี้
1.คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย บุตรบุญธรรม บุตรนอกสมรสที่บิดารับรองแล้ว
และบิดามารดาของสมาชิก ช.พ.ค.
2. ผู้อยู่
ในอุปการะอย่างบุตรของสมาชิก ช.พ.ค.
3. ผู้อุปการะสมาชิก
ช.พ.ค.
ผู้มีสิทธิได้รับการสงเคราะห์ตามวรรคหนึ่งที่
ยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกยังไม่ ขาดสาย แล้วแต่ กรณีในลำดับหนึ่งๆบุคคลที่ อยู่
ในลำดับถัดไปไม่ มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ครอบครัว ตามระเบียบนี้
การสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิก ช.พ.ค. สำหรับบุตรให้พิจารณาให้บุตรสมาชิก ช.พ.ค. ได้รับความช่วยเหลือเป็นเงินทุนสำหรับการศึกษาเล่าเรียนเป็นลำดับแรก
สมาชิก ช.พ.ค. ต้องระบุบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคน เป็นผู้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์สมาชิก ช.พ.ค.
มีหน้าที่ดังต่อไปนี้
1. ต้องปฏิบัติตามระเบียบนี้
2. ส่งเงินสงเคราะห์รายศพ เมื่อสมาชิก ช.พ.ค. อื่นถึงแก่กรรมศพละหนึ่งบาทภายใต้เงื่อนไข
3. สมาชิก ช.พ.ค. ที่เป็นข้าราชการประจำ ข้าราชการบำนาญ
และผู้ที่มีเงินเดือนหรือรายได้รายเดือน
ต้องยินยอมให้เจ้าหน้าที่
ผู้จ่ายเงินเดือนหรือเงินบำนาญเป็นผู้หักเงินเพื่อชำระเงินสงเคราะห์รายศพ ณ ที่จ่ายตามประกาศรายชื่อสมาชิก ช.พ.ค. ที่ถึงแก่กรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น