วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เศรษฐีโลภันต์..เรื่องเล่าพื้นบ้านคลองยัน


นิทานพื้นบ้านลุ่มน้ำ คลองยัน อำเภอคีรีรัฐนิคมุราษฎร์ธานี “”ชุดลุงเล่าให้หลานอ่าน””

“เศรษฐีโลภันต์”

เรียบเรียงโดย....นายปณิธาน  เรืองไชย  ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดถ้ำวราราม (กันยายน ๒๕๕๖)

---------------------------------------------------------------------------------

ความนำ

          เสียงเล่าลือซึ่งลุงได้ยินผู้เฒ่าคนชรา  หลายๆคนเป็นต้นว่าคุณปู่เนตร เรืองไชย คุณตาฉาย สุวรรณเสน และอีกหลายๆคนพูดถึงป่าคลองแสง ป่าคลองยัน ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ว่าหากมีผู้พลัดหลงเข้าไปโดยไม่รู้ตัวจึงได้เข้าไปในเมืองของเศรษฐีโลภันต์ เป็นเมืองคล้ายเมืองลับแลที่คนปกติทั่วไปไม่สามารถเข้าไปได้ เปรียบเสมือนอยู่ซ้อนในมิติต่างหาก  แต่ที่ลุงสนใจและนำมาเรียบเรียง เห็นว่าเป็นนิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อๆกันมาหลายชั่วอายุคน หากไม่บันทึกไว้นิทานพื้นบ้านมีคุณค่าอาจจะสูญหายไปได้ และข้อมูลอีกส่วนหนึ่งลุงไปค้นพบหนังสือเก่าๆชื่อว่า “นิราศวัดเขาพัง” ประพันธ์โดย พระธรรมรัตชโยดม (ก. ธมฺมวร) ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ด้วย จึงทำการปะติดปะต่อ เข้าเป็นเรื่องราวเล่าให้หลานๆอ่านกัน หากมีผู้รู้ท่านใดเห็นว่ารายละเอียดบางส่วนยังขาดหายไป ขอให้ช่วยเติมเต็มถือเสียว่าเป็นการอนุรักษ์มรดกนิทานพื้นบ้านไม่ให้สลายไปกับกาลเวลา เข้าไปแสดงความคิดเห็นใน http://Ruangchai.pantown.com 

          ปากแม่น้ำคลองยัน ซึ่งมาเชื่อมต่อลงแม่น้ำพุมดวง อันกว้างใหญ่สมัยโบราณ เป็นพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ด้วย ป่าไม้ สัตว์ป่า อาหารการกิน จนผู้คนจากถิ่นอื่นบุกป่าฝ่าดงจากพื้นราบ  มาจับจองที่ทำมาหากินจัดตั้งบ้านเรือนกันมากมายใหญ่โตเทียบเท่าเมือง เรียกกันว่า “เมืองโลภันต์” ตามชื่อผู้ปกครองบ้านคือ ท่านโลภันต์เศรษฐี   ผู้คนทุกคนมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย และมีการปลูกบ้านใหญ่โตสวยงาม ทุกคนในชุมชนร้องรำทำเพลงมีแต่ความสนุกสนาน มีความสุขยิ่งนัก  ท่านพ่อบ้านโลภันต์ นอกจากเป็นคนร่ำรวยกว่าใครเพื่อนแล้ว ยังมี บุตรสาวอยู่นางหนึ่ง เป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม กิริยามารยาทเรียบร้อย นิสัยอ่อนโยน มีคุณธรรม จริยธรรมอันดี พูดจาอ่อนหวานไพเราะ ชื่อว่า         “นางคารวี” อายุนางพอย่างเข้าสิบเจ็ดปีพอดี

          ทางทิศเหนือของบ้านเศรษฐีโลภันต์ดินแดนอันห่างไกลในป่ากว้าง ยังมีเมืองใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองมากในยุคสมัยนั้น คือ “เมืองกุสสา” ปกครองโดยพระราชา “ท้าววงศาราชาธิบดี  ซึ่งพระองค์ทรงมีพระมเหสีที่มีพระสิริโฉมงดงาม สองพระองค์ซึ่งเป็นพี่น้องกัน  พระพี่นางคือ “พระนางวงศ์สุริยา”  และพระน้องนางคือ “พระนางกาไวย”

          พระนางวงส์สุริยา  มีพระโอรสอยู่สองพระองค์ซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ องค์พี่คือ เจ้าวงศ์สุริยามาตย์  องค์น้องคือ เจ้าศรีวรวงศ์  ทั้งสองพระองค์มีความเฉลียวฉลาด แข็งแกร่ง สง่างาม เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีความชำนาญในการต่อสู้ ตามแบบฉบับของลูกผู้ชายที่พึงมี  อีกทั้งเป็นบุคคลที่มีคุณธรรม จริยธรรมอันดี เป็นที่รักใคร่ของประชาอาณาราษฎร  ส่วนพระนางกาไวย มีโอรส ชื่อ “ไวยทัต”  มีนิสัยเป็นคนพาล กิริยา หยาบคาย มุทะลุ ชอบเล่นทำตัวเหลวไหลไร้สาระ  ส่วนพระนางกาไวยผู้เป็นพระมารดา  เป็นคนขี้อิจฉา ริษยา  เกิดความคิดว่า ในภาย     ภาคหน้า หากพระโอรสของพระนางวงศ์สุริยา ขึ้นครองแผ่นดิน ตนเองกับบุตรชายต้องยากลำบาก ยากจนแน่   หากยังอาศัยอยู่ในราชธานีกุสสา  คิดอยากให้ตนเองและบุตรชายอยู่อย่างสุขสบาย และต้องการให้ครองแผ่นดินต่อจากท่านท้าววงศาราชาธิบดี ผู้เป็นพระราชบิดา  ได้ลักลอบรับสั่งให้นางยายเฒ่า “สุมณฑา”  ทำสเน่ห์ยาแฝด ใส่ให้พระราชาวงศาหลงใหล ลุ่มหลง ในตัวพระนางกาไวย โดยไม่ลืมพระเนตร พระกรรณ ไม่เหลือบมองไปในสตรีนางอื่นอีกเลย  อีกทั้งเบิกความกราบทูลความเท็จ ใส่ร้าย พระโอรสทั้งสองของพระนางวงศ์สุริยาว่า เห็นพระนางมีรูปโฉมสวยงามจึงร่วมกันใช้กำลัง ปลุกปล้ำนางจะเอานางไปทำนางบำเรอ  ฝ่ายท้าววงศา ได้ยินก็พิโรธ โกรธอย่างหนักรับสั่งให้ทหารจับ และนำพระโอรสทั้งสองไปประหารชีวิต  แต่ด้วยความเป็นแม่ที่เป็นห่วงและรักลูก พระนางวงศ์สุริยาได้แอบให้คนของนางติดสินบนเพชฌฆาตด้วยแก้วแหวนเงินทองมากมาย  จนเจ้าหน้าที่ยอมปล่อยพระโอรสทั้งสอง  ให้หลบหนีเข้าดงดิบแถวป่าคลองยันและป่าคลองแสง  เพื่อหนีตายด้วยกลัวพระอาญาแผ่นดิน

    พระโอรสวงศ์สุริยามาตย์ และเจ้าศรีวรวงศ์ ผู้เป็นพระอนุชา หรือน้องชาย เดินทางบุกป่าฝ่าดง เขาพงรก ในถิ่นแสนทุรกันดาร มุ่งหน้าลงมาทางใต้  เดินทางมาหลายวันก็เกิดอาการอ่อนล้า เหนื่อย ก็เข้านั่งพักใต้ต้นไทรใหญ่ ไม่นานก็บรรทมหลับไป  บริเวณพุ่มไทรใหญ่ที่กินเนื้อที่ สามไร่ ร่มรื่น มีลูกผลไทรดกไว้ให้นกกินมากมาย  และบังเอิญว่าบนพุ่มไทรในวันนั้นมี  ไก่ขาว และไก่ดำ สองตัวซึ่งเป็นจ้าวแห่งไก่ในป่านั้น  กำลังใช้กำลังเพื่อช่วงชิงอาณาเขตกัน รบพุ่งชนกันมาหลายวันแล้วไม่รู้แพ้รู้ชนะ สุดท้ายก็ชนกันตกลงมาตายทั้งคู่ที่โคนต้นไทร  สักพักพระโอรสทั้งสองก็ตื่นขึ้นมา เห็นไก่ป่าอยู่ใกล้ๆก็นำมาทำเป็นอาหาร  เจ้าชายวงศ์สุริยามาตย์ ได้เลือกเสวยเนื้อไก่ดำ  และแบ่งปันเนื้อไก่ขาวให้กับ        เจ้าศรีวรวงศ์ผู้เป็นอนุชาหรือน้องชาย  เนื่องจากไก่ทั้งสองเป็นจ้าวแห่งป่า เนื้อจึงเป็นยา ผู้ได้เสพเนื้อเข้าไปจะทำให้เป็นบุคคลที่มีพละกำลังมากกว่าบุคคลปกติ  จากนั้นก็ชักชวนกันเดินทางต่อไปในป่าเขาจนเวลาใกล้ค่ำ  มองไปเห็นศาลาในป่าจึงเข้าอาศัยหลับนอน ณ ศาลาพักคนเดินทางหลังนั้น

    อันศาลาที่พระโอรสทั้งสองเข้าพักอาศัยอยู่นั้น ตั้งอยู่ชายเมือง “ไอยมาศ”  ซึ่งบัดนี้ไม่มีพระราชาผู้ครองนคร  ชาวเมืองและข้าราชการพากันผูกมาเทียมรถ  ให้ลากเพื่อเสี่ยงทายหากม้าลากรถไปที่ใคร ถือวาบุคคลนั้นเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ เทวดาฟ้าดินส่งมาให้เป็นพระราชา  รถม้าเสี่ยงทายของชาวเมืองเข้าไปจอดสงบนิ่งอยู่หน้าพระวงศ์สุริยามาตย์  เจ้าชายองค์พี่จึงเดินทางเข้าไปทำหน้าที่เป็นพระราชาปกครองเมือง ไอยมาศ ตามประสงค์ของชาวเมือง

    เจ้าชายองค์น้องเจ้าศรีวรวงศ์  ยังไม่หมดวิบากกรรม ไม่ยอมติดตามพี่ชายเข้าไปในเมือง แต่สมัครใจเดินป่าเพื่อเสี่ยงโชคชะตา  ต้องเดินทางบุกป่าฝ่าดงอันรกทึบ ไปเพียงผู้เดียว ผ่านสัตว์มีเขี้ยวมีขอ ต้องต่อสู้ หลบหลีกก็หลายหน  ใช้เวลารอนแรมในป่าหนึ่งเดือนก็ลุล่วงเข้าเขตบ้านในป่าใหญ่ ชื่อ บ้านเศรษฐีโลภันต์ ตั้งอยู่ใจกลางป่าทึบ ตั้งอยู่ใจกลางของเทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขาภูเก็ต เทือกเขาศก  ซึ่งเป็นการยากที่ผู้คนธรรมดาจะเดินทางไปถึงได้  และได้เข้าไปขออาศัยพักกับบ้านของตายายคู่หนึ่งริมขอบหมู่บ้าน  ตาเฒ่าเจ้าของบ้านเหลือบเห็นแหวนมณีอันสวยงามและใหญ่โตที่พระมารดาพระราชทานให้มาที่นิ้วเจ้าวรวงศ์  จึงคิดว่าบุคคลผู้นี้คงไม่ใช่บุคคลธรรมดาแน่  จึงนำความไปแจ้งแก่เศรษฐีโลภันต์ ผู้เป็นผู้ปกครองชุมชน  ท่านเศรษฐีนายบ้านเห็นแหวนเกิดความโลภ อยากได้ จึงหาทางทำเป็นโกรธ พร้อมกล่าวหาว่า เจ้าวรวงศ์ขโมยแหวนมาจึงจับให้บริวารนำไปเฆี่ยนตีและโบยด้วยหวายแช่น้ำเหยี่ยว  บังคับ ขู่เข็น ให้ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ขโมยมา  แต่องค์ศรีวรวงศ์ก็ไม่ยอมรับผิด ส่วนนางคารวี  ได้ข่าวก็เดินทางมาดู เห็นหนุ่มรูปงามเกิดชอบพอ ใจเกิดรักใคร่ และสงสาร จึงออกอุบายพูดชักจูงผู้เป็นพ่อ จนท่านโลภันต์ไม่รู้ทันในอุบายของบุตรียอมผ่อนการเฆี่ยนตีลง

    บ้านโลภันต์เป็นชุมชนใหญ่ ขึ้นตรงต่อเมือง  “ผุสสา”  ซึ่งเป็นเมืองใหญ่มีเมืองหลวงอยู่ไกลบริเวณแถว ไชยา  ทุกๆปีบ้านโลภันต์ต้องนำเครื่องบรรณาการ ไปถวายความจงรักภักดีแก่เจ้าเมืองผุสสา ปีนี้ได้เวลาอันสมควรแล้วจึงเกณฑ์ผู้คนบ่าวไพร่ บริวารขนสิ่งของมากมาย ทั้งส้มสุก ลูกไม้ ขี้ไต้ ไม้ชัน น้ำผึ้ง เป็นต้น ขนลงเรือหลายสิบลำเรือ รวมทั้งได้นำเจ้าศรีวรวงศ์ไปด้วย  เพื่อให้กษัตริย์เมืองผุสสา พิจารณาโทษชำระคดีความ  ข้างนางคารวี เป็นห่วงว่าคนรักจะสิ้นชีวิตเสียระหว่างเดินทาง จึงออกอุบายบอกเศรษฐีโลภันต์ว่าพ่อเดินทางไกลไปหลายวันหนทางลำบาก  ไม่มีคนคอยดูแล ขออาสาติดตามเพื่อไปดูแลพ่อ  ท่านเศรษฐีจึงให้ลงเรือไปด้วยเพราะคิดว่าบุตรสาวเป็นห่วงตนจริง  พร้อมทั้งสั่งบริวารให้ลงมือถ่อเรือ พาย และแจว อย่างเต็มกำลังล่องไปตามคลอง  เนื่องจากเป็นต้นน้ำน้ำไหลเชี่ยวมาก  รุนแรงจนคนควบคุมเรือต้องทำงานอย่างหนัก ใช้ไม้ค้ำถ่อเรือให้ไหลไปตามน้ำ บางครั้งต้องใช้ไม้ค้ำยันไว้  จึงจะแก้ไขให้เรือไปตามปกติได้  จึงได้เรียกว่าคลองยัน  ล่องจากเหนือน้ำมาตามคลองยันหลายวันเกือบเดือนก็บรรลุทะเลอันกว้างทาง  อ่าวบ้านดอน  ระหว่างที่โดยสารนั่งเรือมาด้วยกันคนเรือรู้ว่านางคารวี แอบชอบ และผูกสมัครรักใคร่อยู่กับเจ้าศรีวรวงศ์

โดยผู้บิดาไม่รู้เรื่อง เมื่อดื่มสุรากันจนเมาได้ที่ ก็แต่งเป็นเพลงล้อเลียน เปรียบเปรยเข้ากับจังหวะพายเรือ  หยอกล้อเล่นกันเป็นที่สนุกสนาน

    ในที่สุดก็ถึงบริเวณไชยา  ที่ตั้งของเมืองผุสสา  ก็พากันเข้าเฝ้าท้าวผุสสา เจ้าเมือง และนำเจ้าศรีวรวงศ์มาถวาย พร้อมกล่าวโทษว่าเป็นหัวขโมย เพื่อให้ ราชาผุสสาลงโทษประหารชีวิต   องค์ท้าวผุสสาได้ไต่สวนความจริงจึงปรากฏ  ว่าเจ้าชายศรีวรวงศ์ถูกกลั่นแกล้ง โดยกลั่นแกล้งคนดีด้วยใจพาลโลภอยากได้สมบัติผู้อื่นจึงกลั่นแกล้งเจ้าของ  ดำรัสให้จับตัวเศรษฐีโลภันต์ไปคุมขังเพื่อรอโทษประหารชีวิตในวันต่อไป  แต่เจ้าศรีวรวงศ์ขอพระราชทานอภัยไม่ให้เอาโทษ  จึงรอดชีวิตและให้นำบริวารทั้งหมดกลับบ้านที่ลุ่มน้ำคลองยัน  แต่ไม่ให้พานางคารวีกลับไปด้วย เพราะต่อมาก็ให้แต่งงานอยู่กินกับเจ้าศรีวรวงศ์ที่เมืองผุสสา

    ท้าวผุสสาผู้ครองนครอันยิ่งใหญ่ไม่มีพระโอรส  มีแต่พระธิดาองค์น้อยเพียงองค์เดียว ชนมายุได้ย่างเข้า สิบหกพอดี  มีพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก ชื่อว่าพระธิดา “มงกุฎ  เมืองนี้เป็นนครที่มีวิบากกรรมมาแต่โบราณ  ทุกๆสิบห้าปีจะมียักษ์ผู้เฝ้ารักษาเมืองที่นอนสงบอยู่ในสระกลางเมือง ขึ้นมาจับกษัตริย์ที่ครองนครกินเป็นอาหารอยู่ตลอด ซึ่งบัดนี้ได้เวลาที่ยักษ์ตนนั้นจะขึ้นมาจับเจ้าครองนครผุสสาไปเป็นอาหารแล้ว  ท้าวผุสสารักตัวกลัวตาย ร้อนร้นในพระหฤทัย  จึงให้ทหารป่าวประกาศหาตัวผู้แก้ไขวิบากกรรมนี้  ใครแก้ไขวิบากกรรมนี้ได้จะให้ครองเมืองผุสสา และให้อภิเษกกับนางมงกุฎผู้เป็นพระธิดา และพระราชทานผู้คนบริวารมากมายให้แก่คนผู้นั้น  ความทราบถึงเจ้าชายศรีวรวงศ์ จึงรับอาสาแก้ไขวิบากกรรมกนั้นให้กับเมืองผุสสา  ได้เวลายักษ์ตื่นขึ้นมาจากสระ  เจ้าศรีวรวงศ์จึงออกมาสู้รบสามวันสามคืนจึงสามารถฆ่ายักษ์ตนนั้นให้ตายได้  จึงได้ราชาภิเศกเป็นพระราชาครองเมืองผุสสาคู่กับพระนางมงกุฎ  มีการจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โตใช้เวลาในความสุขนั้นถึงหนึ่งเดือน ชาวเมืองอื่นที่มาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า และมาเยี่ยมเยียน และ   พระเสื้อเมืองผู้ปกปักษ์รักษาเมืองเห็นชาวเมืองทุกคนมีความสุขก็ชักชวนเพื่อนเทวดา พระภูมิเจ้าที่ พรรคพวกทั้งหลายมาร่วมสนุกสนานกับชาวเมืองด้วย และก่อนกลับได้มอบ เพชรนิลจินดา เงินทอง มากมายให้แก่เจ้าเมืองผุสสาองค์ใหม่กับพระมเหสีมงกุฎ  รวมทั้งมอบลูกแก้วดวงมณีพิเศษไว้ให้  อันลูกแก้วนี้ไม่ใช่ลูกแก้วธรรมดา  นอกจากใหญ่โตสวยงามกว่าดวงมณีอื่นแล้ว ผู้ที่มีไว้ในครอบครองสามารถมีอิทธิฤทธิ์ เหาะเหิรไปในอากาศได้อีกด้วย เจ้าศรีวรวงศ์ครองเมืองผุสสาพร้อมด้วยมเหสีมงกุฏ และพระชายาคารวี อย่างสงบและมีความสุข บริหารกิจการบ้านเมืองจนนครผุสสาเจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองที่ใหญ่โตน่าอยู่ ประชาราษฎร์มีความสุขและทุกคนร่ำรวยกันทั่วหน้า หลังจากนั้นเกิดความคิดถึง เจ้าชายองค์พี่  พระเจ้าวงศ์สุริยามาตย์ จึงลาท้าวผุสสาผู้เป็นพ่อตา และเทวีมงกุฎผู้เป็นพระมเหสี ออกเดินทางตามหาพระเชษฐา  จับลูกแก้วดวงมณีเหาะขึ้นไปในอากาศพร้อมกับอุ้มนางคารวีผู้เป็นศรีภรรยาในอ้อมแขนไปด้วย  เหาะเหิรเดินอากาศเหนือก้อนเมฆน้อยใหญ่ไปอย่างรวดเร็ว  เห็นตรงไหนหน้าชมสวยงามก็พาคู่ชีวิตลงชมทั้งวัน จนเหนื่อยอ่อน จวบจนเวลาค่ำพอดีจึง ลงที่ชายป่าแวะเข้าไปขอพักที่ศาลาของพระฤๅษี ที่บำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ในป่าดงดิบ  ตกดึกทั้งสองหลับใหลไปด้วยความอ่อนเพลีย  พระฤๅษีรู้ด้วยญาณวิเศษว่าลูกแก้วดวงมณี  ที่พระศรีวรวงศ์ถืออยู่สามารถเหาะไปในอากาศได้จึงอย่างทดลองเหาะบ้าง  จึงได้แอบหยิบลูกแก้วนั้นแล้วเหาะไปในการกาศอย่างสนุกสนาน เพียงคนเดียว  คราวโชคร้าย ประกอบกับจิตคิดอกุศล ขโมยสิ่งของของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม จึงทำให้สะดุดตกหลุมอากาศตกลงมาบนพื้นดินร่างกายแหลกเหลวเสียชีวิตในกาลต่อมา  มีพ่อค้าเดินทางผ่านเข้ามาพบซากศพและลูกแก้วดวงมณี จึงเก็บลูกแก้วไปถวายพระราชา 

    พระศรีวรวงศ์และชายาคารวีตื่นขึ้นมาเห็นว่าลูกแก้วดวงมณีไม่มีเสียแล้ว  ก็ชวนกันจูงมือเดินทางต่อไปในป่าใหญ่ด้วยเท้าบุกเข้าไปในเขตยักษ์  พบยักษ์สองตนกำลังรบราจะฆ่ากันเสียงดังสนั่นป่า ต้นไม้หักโค่นเสียงดังโครมครามเป็นที่เกรงขามของสัตว์ป่าทั้งหลายและขวางทางเดิน ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้เจ้าศรีวรวงศ์จึงฆ่ายักษ์สองตนนั้นเสีย  แล้วเดินทางต่อไปจนถึงชายทะเล  จึงต่อและผูกแพเพื่อเป็นพาหนะในการเดินทาง  เสร็จแล้วก็จูงมือกันลงในแพเดินทางต่อไปในทะเลรอนแรมไปได้สามวัน  เกิดพายุใหญ่พัดเอาแพแตก  สองผัวเมียไปกันคนละทิศคนละทาง  เจ้าศรีวรวงศ์โชคเข้าช่วย  ลอยไปติดริมฝั่งของเมือง ไอยมาศ  ได้พบผู้เป็นพี่ชายดังตั้งใจ  ส่วนเทวีคารวี  ไปขึ้นอีกฝั่งที่ไม่มีบ้านเมืองผู้คนเลย  จึงเดินตัดเข้าป่าลึก  ได้ไปขออาศัยอยู่บ้านของนายพรานใจดี  และไม่นานก็คลอดบุตรชายหน้าตาหน้ารักหนึ่งคน  ต่อมาราชาวงศ์สุริยามาตย์ได้ออกเดินป่าเพื่อล่าสัตว์โดยพาเจ้าศรีวรวงศ์ไปด้วย  และสุดท้ายก็ไปเจอนางคารวีและบุตรชายที่อาศัยบ้านของพรานป่าอยู่ จึงรับเข้ามาอยู่ในเมืองไอยมาศด้วยกัน ในฐานะหลานและน้องสะใภ้ของพระราชา

    กษัตริย์วงศ์สุริยามาตย์ และเจ้าศรีวรวงศ์ผู้เป็นพระอนุชา ได้จัดทัพใหญ่โตเกณฑ์ไพร่พลมากมาย เดินทัพเพื่อไปโอบล้อมเมืองกุสสา  ไวยทัตออกมารบจึงถูกฆ่าตาย  และเจ้าศรีวรวงศ์ได้จับนางกาไวย หญิงใจชั่ว  ให้ประหารชีวิตตายตกตามลูกชาย  ครั้นพระราชาวงศาทราบเรื่องทั้งหมดก็ดีใจที่ราชโอรสทั้งสองยังไม่สิ้นพระชนม์  จึงประกาศจัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับการกลับมาของโอรสทั้งสองใหญ่โต และทำพิธีราชาภิเศกเจ้าศรีวรวงศ์ให้ครองเมืองกุสสาคู่กับพระมเหสีคารวี  ทำให้พระเจ้าศรีวรวงศ์เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ครองสองเมืองคู่กับมเหสีสองพระองค์คือพระนางคารวีที่เมืองกุสสา และพระนางมงกุฎที่เมืองผุสสาและต่อมาภายหลังรวมเป็นอาณาจักรเดียวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น  ในการเฉลิมฉลองการครองราชย์อันยิ่งใหญ่ของเจ้าศรีวรวงศ์  กษัตริย์หนุ่มได้ส่งทหารให้ไปเชิญเศรษฐีโลภันต์  มาร่วมงานด้วย  ด้วยความละอายต่อการทำบาป และการหลงผิด ไม่กล้าสู้หน้าลูกเขยและลูกตัว จึงตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตาย เพื่อหลีกหนีการไปร่วมงาน.....

    มีคนเล่าว่าคนที่เคยหลงเข้าไปเห็นเมืองโลภันต์ เล่าให้ฟังว่า บางคนเห็นเป็นเมืองที่ไม่มีผู้คนแต่มีบ้านเรือนมากมายผลไม้ มากมาย รวมทั้งเครื่องกินมากมาย  บางคนก็ไปพบกับชุมชนที่มีผู้คน  แต่ผู้คนที่เคยไปพบเห็นจริงๆในปัจจุบัน  ลุงยังหาตัวไม่เจอที  หากหลานๆคนใดเจอให้เขาเล่าแล้วอัดเสียงกับภาพใส่ในโทรศัพท์มือถือมาฝากกันบ้างละกัน.......................................................
http://Ruangchai.pantown.com เว็ปที่เชื่อมกันอยู่ เว็บเรืองไชย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น