ความรู้สำหรับครู.....นายปณิธาน เรืองไชย
ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดถ้ำวราราม สพป.สุราษฎร์ธานี เขต 2
..................................................................................................................
การบริหารงานบุคคล
การบริหารงานบุคคล หมายถึง การหาทางใช้คนที่อยู่ร่วมกันในองค์กรนั้น ๆ ให้ทำงานได้ผลดีที่สุด สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้ผู้ร่วมงานมีความสุขมีความพอใจ ที่จะให้ความร่วมมือและทำงานร่วมกับผู้บริหาร เพื่อให้งานขององค์กรนั้น
ๆสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
แนวคิด
1)ปัจจัยทางการบริหารทั้งหลาย “คน” ถือเป็นปัจจัยทางการบริหารที่สำคัญที่สุด
2)การบริหารงานบุคคลจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ผู้บริหารจะต้องมีความรู้ความเข้าใจและมีความสามารถสูงในการบริหารงานบุคคล
3)การจัดบุคลากรให้ปฏิบัติงานได้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถจะมีส่วนทำให้บุคลากร มีขวัญกำลังใจ
มีความสุขในการปฏิบัติงานส่งผลให้งานประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ
4)การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจะทำให้บุคลากร เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและกระตือรือร้นพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น
5)การบริหารงานบุคคลเน้นการมีส่วนร่วมของบุคลากรและผู้มีส่วนได้เสียเป็นสำคัญ
1.มาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ
ประเภท ผู้สอน สายงาน การสอน
ลักษณะงานโดยทั่วไป สายงานการสอน มีลักษณะงานที่
ปฏิบัติเกี่ยวกับการทำหน้าที่ หลักด้านการจัดการเรียน
การสอน
และส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย มีการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ โดยเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม ที่ดีงาม และปฏิบัติงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
ชื่อตำแหน่ง
1.ครูผู้ช่วย
2.ครู
ชื่อวิทยฐานะ
1.ครูชำนาญการ (อันดับ คศ. 2)
2.ครูชำนาญการพิเศษ (อันดับ คศ.3)
3.ครูเชี่ยวชาญ (อันดับ คศ. 4)
4.ครูเชี่ยวชาญพิเศษ (อันดับ คศ.5)
มาตรฐานตำแหน่ง
ชื่อตำแหน่ง ครูผู้ช่วย
หน้าที่และความรับผิดชอบ
ปฏิบัติหน้าที่ เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน การส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาผู้เรียน ปฏิบัติงานทางวิชาการของสถานศึกษา และมีหน้าที่ ในการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครู และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่
ได้รับมอบหมาย
ลักษณะงานที่ปฏิบัติ
1.ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน และส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการ ที่หลากหลาย โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
2.จัดอบรมสั่งสอนและจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์
3.ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดระบบการดูแลช่วยเหลือผู้เรียน
4.ปฏิบัติงานอื่นตามที่ ได้รับมอบหมาย
คุณสมบัติเฉพาะสำหรับดำรงตำแหน่ง
1.มีวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือทางอื่นที่ ก.ค.ศ. กำหนดเป็นคุณสมบัติ เฉพาะสำหรับตำแหน่งนี้
2.มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
การให้ได้รับเงินเดือน ให้ได้รับเงินเดือนอันดับ
ครูผู้ช่วย ตามที่ สำนักงาน กคศ.รับรองให้บังคับใช้ 1 มกราคม 2557 ดังนี้
1.ปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี
อัตรา 15,050
บาท
2.ปริญญาตรี หลักสูตร 5
ปี อัตรา 15,800 บาท
3.ประกาศนียบัตรบัณฑิตที่มีหลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่า 1 ปี ต่อจากวุฒิ ปริญญาตรี
หลักสูตร 4 ปี
อัตรา 15,800
บาท
4.ปริญญาตรี หลักสูตร 6
ปี อัตรา 17,690 บาท
5.ปริญญาโท ทั่วไป อัตรา
17,690 บาท
มาตรฐานตำแหน่ง
ชื่อตำแหน่ง ครู
หน้าที่และความรับผิดชอบ ปฏิบัติหน้าที่หลักเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน การส่งเสริมการเรียนรู้
พัฒนาผู้เรียน ปฏิบัติงานทางวิชาการของสถานศึกษา พัฒนาตนเองและวิชาชีพ ประสานความร่วมมือกับผู้ปกครอง
บุคคลในชุมชน และหรือสถานประกอบการเพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียน การบริการสังคมด้านวิชาการ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่
ได้รับมอบหมาย
ลักษณะงานที่ปฏิบัติ
1.ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน และส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย
โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
2.จัดอบรมสั่งสอนและจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์
3.ปฏิบัติงานวิชาการของสถานศึกษา
4.ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดระบบการดูแลช่วยเหลือผู้เรียน
5.ประสานความร่วมมือกับผู้ปกครองและบุคคลในชุมชนเพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
6.ทำนุบำรุง ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม แหล่งเรียนรู้
และภูมิปัญญาท้องถิ่น
7.ศึกษาวิเคราะห์ วิจัย และประเมินพัฒนาการของผู้เรียน เพื่อนำมาพัฒนาการเรียน การสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
8.ปฏิบัติงานอื่นตามที่ ได้รับมอบหมาย
คุณสมบัติเฉพาะสำหรับดำรงตำแหน่ง
1.มีวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษาหรือทางอื่นที่ ก.ค.ศ.กำหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งนี้
2.ปฏิบัติหน้าที่ ในตำแหน่งครูผู้ช่วยเป็นเวลา
2 ปี โดยผ่านการประเมินการเตรียมความพร้อม และพัฒนาอย่างเข้ม
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กำหนดในกฎ ก.ค.ศ. หรือดำรงตำแหน่งอื่น ที่ ก.ค.ศ.
เทียบเท่า
3.มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
การให้ได้รับเงินเดือน ให้ได้รับเงินเดือนอันดับ
คศ.1 ผู้ดำรงตำแหน่งครูผู้ใดผ่านการประเมิน.ให้มี มีวิทยฐานะครูชำนาญการ ครูชำนาญการพิเศษ ครูเชี่ยวชาญ หรือครูเชี่ยวชาญพิเศษ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนดให้ได้รับเงินเดือน อันดับ คศ.2 คศ.3
คศ.4 หรือ คศ.5 ตามลำดับ (อันดับ คศ.. คือการให้รับเงินเดือน)
มาตรฐานตำแหน่ง
ชื่อตำแหน่ง ครูชำนาญการ
หน้าที่และความรับผิดชอบ
ปฏิบัติหน้าที่หลักเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน การส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาผู้เรียน ปฏิบัติงานทางวิชาการของสถานศึกษา พัฒนาตนเองและวิชาชีพ ประสานความร่วมมือกับผู้ปกครอง บุคคลในชุมชน และหรือสถานประกอบการเพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียน การบริการสังคมด้านวิชาการ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ ได้รับมอบหมาย
ลักษณะงานที่ปฏิบัติ
มีความรู้ความเข้าใจในสาระหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่รับผิดชอบในระดับพื้นฐานมีความ สามารถในการออกแบบการเรียนรู้ บริหารจัดการชั้นเรียน พัฒนาผู้เรียนโดยแสดงให้เห็นว่า มีการดำเนินการตามแนวทางที่หลักสูตรกำหนด และมีการพัฒนาตนและพัฒนาวิชาชีพ มีทักษะ การจัดการเรียนรู้และประเมินผลที่เหมาะสมกับสาระหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่รับผิดชอบ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ของสาระหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้
เป็นผู้มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
คุณสมบัติเฉพาะสำหรับดำรงตำแหน่ง
1.ดำรงตำแหน่งครู มาแล้วไม่น้อยกว่า 6 ปี สำหรับผู้มีวุฒิปริญญาตรี 4 ปี สำหรับผู้มีวุฒิปริญญาโทและ
2ปี
สำหรับผู้มีวุฒิปริญญาเอก หรือดำรงตำแหน่งอื่นที่ ก.ค.ศ. เทียบเท่า และ ผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่
ก.ค.ศ.กำหนด หรือดำรงตำแหน่งอื่นที่มีวิทยฐานะ ชำนาญการ
2. การให้ได้รับเงินเดือนและเงินวิทยฐานะ ให้ได้รับเงินเดือนอันดับ
คศ.2 และให้ได้รับเงินวิทยฐานะครูชำนาญการ
การเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม
ลักษณะงาน
การเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มเป็นกระบวนการในการบริหารบุคคลที่จะเข้ามา ดำรงตำแหน่ง ครู
ซึ่งต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 มาตรา 56
บัญญัติให้ผู้ใดที่
ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้เข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ใดได้รับการบรรจุและแต่งตั้งในตำแหน่งครู ให้ผู้นั้นเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มในตำแหน่งครูผู้ช่วย เป็นเวลาสองปี
ก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ครู เพื่อเพิ่มพูนความรู้ทักษะ และบุคลิกลักษณะในการปฏิบัติวิชาชีพทั้งในการ ปฏิบัติงานและการปฏิบัติหน้าที่เหมาะสมกับวิชาชีพครู ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด
การเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งครูผู้ช่วย เพื่อแต่งตั้งเป็นตำแหน่งครู ส่วนการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการใช้กับตำแหน่งอื่นทีบรรจุเข้ามา เช่น ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตาม มาตรา 38 ค(2)
ขั้นตอนการดำเนินงาน
การเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม สำหรับตำแหน่งครูผู้ช่วยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ ก.ค.ศ.
กำหนด (หนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ0206.2/ว20
ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน
2548) ดังนี้
การประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม
หมวดที่ 1 การปฏิบัติตน
1.วินัย คุณธรรม จริยธรรมสำหรับข้าราชการครู
1.1วินัยในตนเอง
1.2วินัยและการรักษาวินัยของทางราชการ
1.3คุณธรรมจริยธรรมสำหรับข้าราชการครู
1.4บทบาทหน้าที่ของข้าราชการในฐานะเป็นพลเมืองที่ดี
1.5ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ แบบแผน หลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติราชการ
2.มาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพครู
2.1มาตรฐานวิชาชีพ
2.2จรรยาบรรณวิชาชีพครู
3.เจตคติต่อวิชาชีพครู
3.1คุณค่าและความสำคัญของวิชาชีพครู
3.2บทบาทหน้าที่ของตนเองในฐานะครูที่ดี
3.3การวางแผนเพื่อพัฒนาความก้าวหน้าในวิชาชีพครู
4.การพัฒนาตนเอง
4.1การใฝ่รู้ใฝ่เรียน
4.2ความฉลาดทางอารมณ์
4.3การสร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์
5.การพัฒนาบุคลิกภาพ
5.1การพัฒนาบุคลิกภาพ
5.2การปรับตัว
6.การดำรงชีวิตที่เหมาะสม
6.1การประพฤติตนตามหลักศาสนา
6.2การดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
หมวดที่ 2 การปฏิบัติงาน
1.การจัดการเรียนรู้
1.1การวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง สาระการเรียนรู้
1.2การออกแบบการเรียนรู้
1.3การวิจัยและแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน
1.4การรายงานผลการเรียนรู้
2.การพัฒนาผู้เรียน
2.1การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่ผู้เรียน
2.2การพัฒนาทักษะชีวิต สุขภาพกาย และสุขภาพจิตของผู้เรียน
2.3การพัฒนาผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ
2.4การปลูกฝังวินัยและความเป็นประชาธิปไตยให้แก่ผู้เรียน
2.5การสร้างค่านิยมที่ดีงามและความภาคภูมิใจในความเป็นไทยให้ผู้เรียน
2.6การจัดระบบดูแลช่วยเหลือผู้เรียน
3.การพัฒนาความสามารถในทางวิชาการ
3.1การพัฒนาสื่อนวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้
3.2การพัฒนาแหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น
3.3การใช้และสร้างเครือข่ายทางวิชาการ
4.การพัฒนาสถานศึกษา
4.1งานบริหารทั่วไป
4.2งานสนับสนุนทางวิชาการ
4.3โครงการหรือกิจกรรมพัฒนาสถานศึกษา
5.ความสัมพันธ์กับชุมชน
5.1การศึกษาเกี่ยวกับชุมชน
5.2การให้ความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชน
5.3การนำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้
5.4การให้บริการชุมชน
5.5การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชน
ระดับสถานศึกษา
1.ผู้อำนวยการสถานศึกษาแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม จำนวน 3 คน
ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษาเป็นประธานกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถานศึกษาจำนวนหนึ่งคนเป็นกรรมการ และข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ผู้อำนวยการสถานศึกษาแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมดูแลการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มเป็นกรรมการและเลขานุการ
2.ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ ให้คำปรึกษา แนะนำ รวมทั้งประเมินผลการเตรียมความพร้อม และพัฒนาอย่างเข้ม
โดยยึดหลักเกณฑ์การมีส่วนร่วม
3.ให้คณะกรรมการประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มทุกสามเดือน รวมแปดครั้งในเวลาสองปี
4.เมื่อผู้อำนวยการสถานศึกษาได้รับรายงานผลการประเมินแต่ละครั้งให้ดำเนินการ ดังนี้
4.1เห็นว่าผลการประเมินต่ำกว่าเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนด และผู้อำนวยการสถานศึกษา เห็นว่าควรทบทวนก็อาจให้คณะกรรมการไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง และหากผลการประเมิน ยังต่ำกว่าเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ.กำหนด ให้ผู้อำนวยการสถานศึกษาสั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการภายใน
ห้าวันทำการ นับแต่วันที่ ได้รับรายงานแล้วแจ้งให้ผู้นั้นทราบโดยเร็ว
4.2กรณีผลการประเมินต่ำกว่าเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนด และผู้อำนวยการสถานศึกษาเห็นเช่นเดียวกับคณะกรรมการก็สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการภายในห้าวันทำการนับแต่วันที่
ได้รับรายงานแล้วแจ้งให้ผู้นั้นทราบโดยเร็ว
4.3กรณีผลการประเมินเป็นไปตามเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนด ให้มีการเตรียมความพร้อม และพัฒนาอย่างเข้มต่อไปและเมื่อผ่านการประเมินทุกครั้งจนครบสองปีแล้วและเห็นว่าควรให้ผู้นั้นรับราชการต่อไป ก็ให้รายงานสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อเสนอ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา พิจารณาอนุมัติและแจ้งให้ผู้อำนวยการสถานศึกษาสั่งแต่งตั้งผู้นั้นให้ดำรงตำแหน่งครูต่อไปพร้อมทั้ง แจ้งให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งทราบ
ระดับเขตพื้นที่การศึกษา
1.นำผลการประเมินของคณะกรรมการ เมื่อครบสองปีทั้งแปดครั้งเสนอที่ประชุม อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา
เพื่อพิจารณาการอนุมัติ
2.เมื่อที่ประชุม อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาอนุมัติ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแจ้งผลการ ประชุม อ.ก.ค.ศ.
เขตพื้นที่การศึกษา ให้โรงเรียนดำเนินการสั่งแต่งตั้ง พร้อมทั้งส่งคำสั่งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
3.สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาตรวจความถูกต้องของคำสั่งแล้วส่งคำสั่งให้กลุ่มงานที่เกี่ยวข้อง
4.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาส่งคำสั่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
และก.ค.ศ.
ส่วนกรณีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่บรรจุในตำแหน่งอื่น นอกจากตำแหน่ง ครูผู้ช่วย เช่น บุคลากรทางการศึกษาอื่นตาม มาตรา 38 ค(2)
ยังคงให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ในตำแหน่งนั้นเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ.
กำหนด ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกฎ ก.ค.ศ. จึงใช้กฎ ก.พ. ฉบับที่ 21(พ.ศ.2542)กำหนดเดิม
ข้อสังเกตในระดับการปฏิบัติ
1.
การนับเวลาการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มสองปีให้นับวันเข้าปฏิบัติราชการวันแรกเป็นวันเริ่มต้นและนับระยะเวลาสิ้นสุดตามปีปฏิทิน
2.กรณีลาคลอดบุตร ลาป่วยซึ่งจำเป็นต้องรักษาตัวเป็นเวลานาน ลาป่วยเพราะประสบอันตรายในขณะปฏิบัติราชการตามหน้าที่ หรือขณะเดินทางไปหรือกลับจากปฏิบัติราชการตามหน้าที่ หรือลาเพื่อเข้าตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพลเป็นระยะเวลาเกินกว่าเก้าสิบวัน ไม่ให้นับระยะ เวลาที่เกินเก้าสิบวัน ดังกล่าวรวมเป็นเวลาการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม
3.วัน เดือน ปีที่ แต่งตั้งครูผู้ช่วยให้ดำรงตำแหน่งครูและให้ได้รับเงินเดือนต้องไม่
เป็นวันเดียวกัน
4.การประเมินผลสรุปทุก 3 เดือน ตลอดระยะเวลา 2 ปี รวม 8 ครั้ง โดยใช้แบบประเมินเดียวกัน
5.เกณฑ์การประเมินครูผู้ช่วยต้องได้คะแนนการประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนา อย่างเข้ม
ครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 4 อย่างต่ำร้อยละ 50 สำหรับการประเมิน
ครั้งที่ 5 ถึงครั้งที่ 8 ต้องเป็นการประเมินร้อยละ
60
จึงจะถือเป็นเกณฑ์การประเมินแต่ละครั้ง
มาตรฐานวิทยฐานะครู
หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวิทยฐานะ
1.ให้ผู้ประสงค์ขอรับการประเมินยื่นคำขอได้ตลอดปี
รอบปีละ 1 ครั้ง โดยส่งคำขอพร้อมทั้งผลการปฏิบัติงาน
(ด้านที่ 3) ซึ่งเป็นเอกสารผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนและผลงานทางวิชาการ จำนวน 4 ชุด ต่อผู้บังคับบัญชาชั้นต้น
เพื่อตรวจสอบและรับรอง แล้วเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับถึงสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
2.คุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะครูชำนาญการต้องมีคุณสมบัติ คือ
2.1ดำรงตำแหน่งครูมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 ปี สำหรับผู้มีวุฒิวุฒิปริญญาตรี 4 ปีสำหรับวุฒิปริญญาโท และ
2 ปี สำหรับวุฒิปริญญาเอก นับถึงวันที่ยื่นคำขอ
หรือดำรงตำแหน่งอื่นที่ ก.ค.ศ.เทียบเท่า
2.2มีภาระงานสอนไม่ต่ำกว่าภาระงานขั้นต่ำตามที่ส่วนราชการต้นสังกัดกำหนด โดยความเห็นชอบของ
ก.ค.ศ.
2.3ได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบด้านการเรียนการสอนและการพัฒนาผู้เรียนย้อนหลัง 2
ปีติดต่อกันนับถึงวันที่ยื่นคำขอ
3.ผู้ขอต้องผ่านการประเมิน
3 ด้าน คือ
ด้านที 1 ด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ พิจารณาจากข้อมูล ของบุคคลและหรือหน่วยงานที่
เกี่ยวข้อง และเอกสารหลักฐานประวัติการรับราชการ(ก.พ.7)/คำรับรองของผู้บังคับบัญชาและคณะกรรมการสถานศึกษา/เอกสารหลักฐานที่แสดงการมีส่วนร่วม ในการเสริมสร้างวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
ด้านที่ 2 ความรู้ความสามารถ พิจารณาจากการพัฒนางานในหน้าที่
และการพัฒนาตนเอง คือ
ส่วนที่ 1 การเป็นผู้มีความสามารถในการจัดการเรียนการสอน พิจารณาจากหลักสูตร แผนการจัดการเรียนรู้ สื่อนวัตกรรม แฟ้มสะสมผลงานคัดสรร
ส่วนที่ 2 การพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะในสาขาหรือกลุ่มสาระ ที่ รับผิดชอบหรืองานที่ รับผิดชอบ พิจารณาจากการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ด้วยวิธีการต่างๆ ผลการทดสอบความรู้จากหน่วยงานหรือสถานบันทางวิชาการที่ ก.ค.ศ. ให้การรับรองการประมวล ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาวิชาการและวิชาชีพและการนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน และการให้บริการทางวิชาการและวิชาชีพ
ด้านที่
3
ด้านผลการปฏิบัติงาน
ต้องได้คะแนนจากกรรมการแต่
ละคนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 65 กรณีคณะกรรมการประเมินด้านที่ 1 ด้านที่ 2
และด้านที่ 3 มีความเห็นว่า ผลการประเมินอยู่
ในวิสัยที่สามารถพัฒนาให้ผ่านเกณฑ์ได้ ให้พัฒนาได้ไม่เกิน
2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 3 เดือน
วิชาชีพ (Profession)
เป็นอาชีพให้บริการแก่สาธารณชนที่ต้องอาศัยความรู้
ความชำนาญ เป็นการเฉพาะไม่ซ้ำซ้อนกับวิชาชีพอื่น
และมีมาตรฐานในการประกอบวิชาชีพโดยผู้ประกอบวิชาชีพต้องฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเพียงพอก่อนที่จะประกอบวิชาชีพต่างกับ
“อาชีพ” (Career)ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องทำให้สำเร็จโดยมุ่งหวังค่าตอบแทนเพื่อการดำรงชีพเท่านั้น
วิชาชีพ ซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง ผู้ประกอบวิชาชีพย่อมต้องมีความรับผิดชอบ อย่างสูงตามมา
เพราะมีผลกระทบต่อผู้รับบริการและสาธารณชน จึงต้องมีการควบคุมการประกอบวิชาชีพเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดความมั่นใจต่อผู้รับบริการและสาธารณชน โดยผู้ประกอบวิชาชีพ ต้องประกอบวิชาชีพด้วยวิธีการแห่งปัญญา ได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างเพียงพอ มีอิสระในการใช้วิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพ และมีจรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งต้องมีสถาบันวิชาชีพ
หรือองค์กรวิชาชีพ เป็นแหล่งกลางในการสร้างสรรค์จรรโลงวิชาชีพ วิชาชีพทางการศึกษาเป็นวิชาชีพควบคุม
วิชาชีพทางการศึกษา นอกจากจะเป็นวิชาชีพชั้นสูงประเภทหนึ่ง
ยังมีบทบาทสำคัญต่อสังคม และความเจริญก้าวหน้าของประเทศ กล่าวคือ
1.สร้างพลเมืองดีของประเทศ โดยการให้การศึกษาขั้นพื้นฐานที่
จะทำให้ประชาชน เป็นพลเมืองดีตามที่ประเทศชาติต้องการ
2.พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสนองตอบการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
3.สืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาติ
จากคนรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่ง ให้มีการรักษาความเป็นชาติไว้อย่างมั่นคงยาวนาน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 จึงกำหนดแนวทางในการดำเนินงานกำกับดูแล
รักษา และพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษา โดยกำหนด ให้มีองค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา
ให้มีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ และจรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546
ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับวิชาชีพทางการศึกษา กำหนดให้วิชาชีพทางการศึกษาเป็นวิชาชีพควบคุม ประกอบด้วย
1.วิชาชีพครู
2.วิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา
3.วิชาชีพผู้บริหารการศึกษา
4.วิชาชีพควบคุมอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง
การกำหนดให้วิชาชีพทางการศึกษาเป็นวิชาชีพควบคุม จะเป็นหลักประกันและคุ้มครองให้ ผู้รับบริการทางการศึกษาได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งจะเป็นการพัฒนาและยกระดับ มาตรฐานวิชาชีพให้สูงขึ้น
การประกอบวิชาชีพควบคุม ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่นที่กฎกระทรวง กำหนดให้เป็นวิชาชีพควบคุม ต้องประกอบวิชาชีพภายใต้บังคับแห่งข้อจำกัดและเงื่อนไขของคุรุสภา ดังนี้
1.ต้องได้รับใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพ โดยยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามที่ คุรุสภากำหนด
ผู้ไม่ ได้รับอนุญาตหรือสถานศึกษาที่ รับผู้ไม่
ได้รับใบอนุญาตเข้าประกอบวิชาชีพ ควบคุมในสถานศึกษาจะได้รับโทษตามกฎหมาย
2.ต้องประพฤติตนตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งต้องพัฒนาตนเอง อย่างต่อเนื่อง
เพื่อดำรงไว้ซึ่งความรู้ความสามารถ และความชำนาญการตามระดับคุณภาพของ มาตรฐานในการประกอบวิชาชีพ
3.บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ มีสิทธิกล่าวหา หรือกรรมการคุรุสภา กรรมการมาตรฐานวิชาชีพ และบุคคลอื่น มีสิทธิกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพ ที่ประพฤติผิดจรรยาบรรณได้
4.เมื่อมีการกล่าวหาหรือกล่าวโทษ คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพอาจวินิจฉัยชี้ขาดให้ ยกข้อกล่าวหา/กล่าวโทษ ตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพได้ และผู้ถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตไม่สามารถประกอบวิชาชีพต่อไปได้
มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา คือ ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะ และคุณภาพที่พึงประสงค์ในการประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อให้เกิดคุณภาพในการประกอบวิชาชีพ
สามารถสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้แก่
ผู้รับบริการ จากวิชาชีพได้ว่าเป็นบริการที่มีคุณภาพ ตอบสังคมได้ว่าการที่กฎหมายให้ความสำคัญกับวิชาชีพทางการศึกษา และกำหนดให้เป็นวิชาชีพควบคุมนั้น เนื่องจากเป็นวิชาชีพที่มีลักษณะเฉพาะ ต้องใช้ ความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญในการประกอบวิชาชีพ
ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. มาตรา 49 กำหนดให้มี มาตรฐานวิชาชีพ
3 ด้าน
ประกอบด้วย
1.มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ หมายถึง ข้อกำหนดสำหรับผู้ที่จะเข้ามา ประกอบวิชาชีพ
จะต้องมีความรู้และมีประสบการณ์วิชาชีพเพียงพอที่
จะประกอบวิชาชีพจึงจะสามารถขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงว่าเป็นบุคคลที่
มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์พร้อมที่จะประกอบวิชาชีพทางการศึกษาได้
2.มาตรฐานการปฏิบัติงาน หมายถึง ข้อกำหนดเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในวิชาชีพให้เกิดผล เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด พร้อมกับมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความชำนาญ ในการประกอบวิชาชีพ ทั้งความชำนาญเฉพาะด้านและความชำนาญตามระดับคุณภาพของมาตรฐาน การปฏิบัติงาน หรืออย่างน้อยจะต้องมีการพัฒนาตามเกณฑ์ที่กำหนดว่ามีความรู้ความสามารถ และ ความชำนาญเพียงพอที่จะดำรงสถานภาพของการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพต่อไปได้หรือไม่
นั่นก็คือ การกำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องต่อใบอนุญาตทุกๆ
5 ปี
3.มาตรฐานการปฏิบัติตน หมายถึง ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประพฤติตนของผู้ประกอบวิชาชีพ โดยมีจรรยาบรรณของวิชาชีพเป็นแนวทางและข้อพึงระวังในการประพฤติปฏิบัติ
เพื่อดำรงไว้ซึ่งชื่อเสียงฐานะ เกียรติ
และศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพ ตามแบบแผนพฤติกรรม ตามจรรยาบรรณของวิชาชีพที่คุรุสภาจะกำหนดเป็นข้อบังคับต่อไป
หากผู้ประกอบวิชาชีพผู้ใดประพฤติผิดจรรยาบรรณ ของวิชาชีพทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นจนได้รับการร้องเรียนถึงคุรุสภาแล้ว ผู้นั้นอาจถูก คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพวินิจฉัยชี้ขาดดังนี้
(1)ยกข้อกล่
าวหา
(2)ตักเตือน
(3)ภาคทัณฑ์
(4)พักใช้ใบอนุญาตมีกำหนดเวลาตามที่เห็นสมควรแต่
ไม่เกิน 5 ปี
(5)เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
สมรรถนะของครู
(ID-Plan)
สมรรถนะ เป็นคุณลักษณะพื้นฐานของบุคคลซี่งมีความสัมพันธ์ต่อการปฏิบัติงานที่มี ประสิทธิผลหรือเป็นไปตามเกณฑ์ หรือการมีผลงานที่
โดดเด่นกว่าในการทำงานหรือสถานการณ์นั้น
สมรรถนะครูและบุคลากรทางการศึกษา หมายถึง พฤติกรรมซึ่งเกิดจากการรวมความรู้(Knowledge)
ทักษะ(Skill) คุณลักษณะ(Character)
ทัศนคติ(Attitude) และแรงจูงใจ(Motivation) ของบุคคล และส่งผลต่อความสำเร็จ
ในการปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่อย่างโดดเด่น
สมรรถนะ มีองค์ประกอบ
3 ประการ คือ 1.ความรู้ (Knowledge) 2.ทักษะ(Skills) 3.คุณลักษณะส่วนบุคคล
(Attributes)
สมรรถนะ มี 2 ประเภท คือ 1.สมรรถนะหลัก(Core Competency) 2.สมรรถนะประจำสายงาน(Functional
Competency)
สมรรถนะหลัก
1.การมุ่งผลสัมฤทธิ์
2.การบริการที่ดี
3.การพัฒนาตนเอง
4.การทำงานเป็นทีม
สมรรถนะประจำสายงาน
สมรรถนะประจำสายงานเป็นคุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่ทำให้บุคลากรในองค์กรปฏิบัติงาน ได้ผลและแสดงคุณลักษณะพฤติกรรมได้เด่นชัดเป็นรูปธรรม โดยเป็นคุณลักษณะเฉพาะสำหรับสายงานครู คือ
1.การออกแบบการเรียนรู้
2.การพัฒนาผู้เรียน
3.การบริหารจัดการชั้นเรียน
มาตรฐานวิชาชีพครู
มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานความรู้ มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษาหรือเทียบเท่า หรือคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง โดยมีความรู้ดังต่อไปนี้
1.ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู
2.การพัฒนาหลักสูตร
3.การจัดการเรียนรู้
4.จิตวิทยาสำหรับครู
5.การวัดและประเมินผลการศึกษา
6.การบริหารจัดการในห้องเรียน
7.การวิจัยทางการศึกษา
8.นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
9.ความเป็นครู
จิตวิทยาการแนะแนวและให้คำปรึกษา
1)เข้าใจธรรมชาติของผู้เรียน
2)สามารถช่วยเหลือผู้เรียนให้เรียนรู้และพัฒนาได้ตามศักยภาพของตน
3)สามารถให้คำแนะนำช่วยเหลือผู้เรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
4)สามารถส่งเสริมความถนัดและความสนใจของผู้เรียน
การวัดและประเมินผลการศึกษา สาระ
1)หลักการและเทคนิคการวัดและประเมินผลทางการศึกษา
2)การสร้างและการใช้เครื่องมือวัดผลและประเมินผลการศึกษา
3)การประเมินตามสภาพจริง
4)การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน
5)การประเมินภาคปฏิบัติ
6)การประเมินผลแบบย่อยและแบบรวม
สมรรถนะ
1)สามารถวัดและประเมินผลได้ตามสภาพความเป็นจริง
2)สามารถนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงการจัดการเรียนรู้และหลักสูตร
การบริหารจัดการในห้องเรียน สาระความรู้
1)ทฤษฎีและหลักการบริหารจัดการ
2)ภาวะผู้นำทางการศึกษา
3)การคิดอย่างเป็นระบบ
4)การเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กร
5)มนุษยสัมพันธ์ในองค์กร
6)การติดต่อสื่อสารในองค์กร
7)การบริหารจัดการชั้นเรียน
8)การประกันคุณภาพการศึกษา
9)การทำงานเป็นทีม
10)การจัดทำโครงงานทางวิชาการ
11)การจัดโครงการฝึกอาชีพ
12)การจัดโครงการและกิจกรรมเพื่อพัฒนา
13)การจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ
14)การศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชน
สมรรถนะ ที่ต้องมีในการจัดการบริหารห้องเรียน
1)มีภาวะผู้นำ
2)สามารถบริหารจัดการในชั้นเรียน
3)สามารถสื่อสารได้อย่างมีคุณภาพ
4)สามารถในการประสานประโยชน์
5)สามารถนำนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ในการบริหารจัดการ
การวิจัยทางการศึกษา สา ระความรู้
1)ทฤษฎีการวิจัย
2)รูปแบบการวิจัย
3)การออกแบบการวิจัย
4)กระบวนการวิจัย
5)สถิติเพื่อการวิจัย
6)การวิจัยในชั้นเรียน
7)การฝึกปฏิบัติการวิจัย
8)การนำเสนอผลงานวิจัย
9)การค้นคว้า ศึกษางานวิจัยในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้
10)การใช้กระบวนการวิจัยในการแก้ปัญหา
11)การเสนอโครงการเพื่อทำวิจัย
สมรรถนะ ที่ต้องมีต่อการวิจัยทางการศึกษา
1)สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน
2)สามารถทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียน
นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา สาระความรู้
1)แนวคิด ทฤษฎี เทคโนโลยี และนวัตกรรมการศึกษาที่
ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้
2)เทคโนโลยีและสารสนเทศ
3)การวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดจากการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และสารสนเทศ
4)แหล่งการเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้
5)การออกแบบ การสร้าง การนำไปใช้ การประเมิน และการปรับปรุงนวัตกรรม
สมรรถนะ ที่ให้เกิด
1)สามารถเลือกใช้ ออกแบบ สร้าง และปรับปรุงนวัตกรรม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี
2)สามารถพัฒนาเทคโนโลยีและสารสนเทศ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี
3)สามารถแสวงหาแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน
ความเป็นครู สาระความรู้
1)ความสำคัญของวิชาชีพครู บทบาท หน้าที่ ภาระงานของครู
2)พัฒนาการของวิชาชีพครู
3)คุณลักษณะของครูที่ดี
4)การสร้างทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพครู
5)การเสริมสร้างศักยภาพและสมรรถภาพความเป็นครู
6)การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้และการเป็นผู้นำทางวิชาการ
7)เกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู
8)จรรยาบรรณของวิชาชีพครู
9)กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
สมรรถนะ ที่ต้องให้เกิดขึ้น
1)รัก เมตตา และปรารถนาดีต่อผู้เรียน
2)อดทนและรับผิดชอบ
3)เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้และเป็นผู้นำทางวิชาการ
4)มีวิสัยทัศน์
5)ศรัทธาในวิชาชีพครู
6)ปฏิบัติตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
มาตรฐานการปฏิบัติงาน สำหรับครู
มาตรฐานที่
1 ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครูอยู่เสมอ
การปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครู หมายถึง การศึกษา ค้นคว้า เพื่อพัฒนาตนเอง การเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และการเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการที่องค์การ หรือหน่วยงาน หรือสมาคมจัดขึ้น เช่น การประชุม
การอบรม การสัมมนา และการประชุม ปฏิบัติการ เป็นต้น ทั้งนี้ต้องมีผลงานหรือรายงานที่ปรากฏชัดเจน
มาตรฐานที่
2 ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผู้เรียน
การตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดกับผู้เรียน หมายถึง การเลือกอย่างชาญฉลาดด้วยความรักและหวังดีต่อผู้เรียนดังนั้นในการเลือกกิจกรรมการเรียนการสอนและกิจกรรมอื่นๆ ครูต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดแก่ผู้เรียนเป็นหลัก
มาตรฐานที่ 3 มุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ
การมุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียน หมายถึง การใช้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถของครูที่จะ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ให้มากที่สุดตามความถนัด ความสนใจ ความต้องการ โดยวิเคราะห์วินิจฉัย ปัญหา ความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียน ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนที่จะให้ได้ผลดีกว่าเดิม รวมทั้ง การส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ตามศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคนอย่างเป็นระบบ
มาตรฐานที่ 4
พัฒนาแผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้เกิดผลจริง
การพัฒนาแผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้เกิดผลจริง หมายถึง การเลือกใช้ ปรับปรุงหรือ สร้างแผนการสอน บันทึกการสอน หรือเตรียมการสอนในลักษณะอื่นๆ ที่สามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 5 พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ หมายถึง การประดิษฐ์ คิดค้น ผลิตเลือกใช้
ปรับปรุงเครื่องมืออุปกรณ์ เอกสารสิ่งพิมพ์ เทคนิควิธีการต่างๆเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ของการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 6 จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผลถาวรที่เกิดแก่ผู้เรียน
การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผลถาวรที่เกิดแก่ผู้เรียน หมายถึง การจัดการเรียนการสอน ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการแสวงหาความรู้ ตามสภาพความแตกต่างของบุคคลด้วยการ ปฏิบัติจริง และสรุปความรู้ทั้งหลายได้ด้วยตนเอง ก่อให้เกิดค่านิยมและนิสัยในการปฏิบัติจนเป็น บุคลิกภาพถาวรติดตัวผู้เรียนตลอดไป
มาตรฐานที่ 7
รายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างมีระบบ
การรายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างมีระบบ หมายถึง การรายงานผลการ พัฒนาผู้เรียนที่เกิดจากการปฏิบัติการเรียนการสอนให้ครอบคลุมสาเหตุ ปัจจัย และการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง โดยครูนำเสนอรายงานการปฏิบัติในรายละเอียด ดังนี้
1)ปัญหาความต้องการของผู้เรียนที่
ต้องได้รับการพัฒนา และเป้าหมายของการพัฒนาผู้เรียน
2)เทคนิค วิธีการ หรือนวัตกรรมการเรียนการสอนที่นำมาใช้เพื่อการพัฒนาคุณภาพของ ผู้เรียน และขั้นตอนวิธีการใช้เทคนิควิธีการหรือนวัตกรรมนั้นๆ
3)ผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามวิธีการที่กำหนดที่เกิดกับผู้เรียน
4)ข้อเสนอแนะแนวทางใหม่ๆ ในการปรับปรุงและพัฒนาผู้เรียนให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
มาตรฐานที่ 8 ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน
การปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน หมายถึง การแสดงออก การประพฤติและปฏิบัติในด้านบุคลิกภาพทั่วไป
การแต่งกาย กิริยา วาจา และจริยธรรมที่ เหมาะสมกับความเป็นครู อย่างสม่ำเสมอ ที่ทำให้ผู้เรียนเลื่อมใสศรัทธาและถือเป็นแบบอย่าง
มาตรฐานที่ 9 ร่วมมือกับผู้อื่นในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์
การร่วมมือกับผู้อื่นในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การตระหนักถึงความสำคัญ รับฟังความคิดเห็น ยอมรับในความรู้ความสามารถ ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆของ เพื่อนร่วมงานด้วยความเต็มใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของสถานศึกษา และร่วมรับผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น
มาตรฐานที่ 10
ร่วมมือกับผู้อื่นในชุมชนอย่างสร้างสรรค์
การร่วมมือกับผู้อื่นในชุมชนอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การตระหนักถึงความสำคัญ รับฟัง ความคิดเห็น ยอมรับในความรู้ความสามารถของบุคคลอื่นในชุมชน และร่วมมือปฏิบัติงานเพื่อพัฒนา งานของสถานศึกษา ให้ชุมชนและสถานศึกษามีการยอมรับซึ่งกันและกัน และปฏิบัติงานร่วมกัน ด้วยความเต็มใจ
มาตรฐานที่ 11 แสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการพัฒนา
การแสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการพัฒนา หมายถึง การค้นหา สังเกต จดจำ และ รวบรวมข้อมูลข่าวสารตามสถานการณ์ของสังคมทุกด้าน โดยเฉพาะสารสนเทศเกี่ยวกับวิชาชีพครู สามารถวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล
และใช้ข้อมูลประกอบการแก้ปัญหา พัฒนาตนเอง พัฒนางาน และพัฒนาสังคมได้อย่างเหมาะสม
มาตรฐานที่ 12 สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกสถานการณ์
การสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกสถานการณ์ หมายถึง การสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการนำเอาปัญหาหรือความจำเป็นในการพัฒนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการเรียนและการจัดกิจกรรมอื่นๆ ในโรงเรียนมากำหนดเป็นกิจกรรมการเรียนรู้
เพื่อนำไปสู่ การพัฒนาของผู้เรียนที่ ถาวร เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาของครูอีกแบบหนึ่งที่จะนำเอาวิกฤติต่างๆ มาเป็นโอกาสในการพัฒนาครูจำเป็นต้องมองมุมต่างๆ ของปัญหาแล้วผันมุมของปัญหาไปในทางการพัฒนา กำหนดเป็นกิจกรรมในการพัฒนาของผู้เรียน ครูจึงต้องเป็นผู้มองมุมบวกในสถานการณ์ต่างๆได้กล้าที่จะเผชิญปัญหาต่างๆ มีสติในการแก้ปัญหามิได้ตอบสนองปัญหาต่างๆ ด้วยอารมณ์หรือแง่มุมแบบตรงตัว ครูสามารถมองหักมุมในทุกๆ โอกาสมองเห็นแนวทางที่นำสู่ผลก้าวหน้าของผู้เรียน
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
ความหมาย ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา เป็นหลักฐานการอนุญาตให้ผู้ประกอบวิชาชีพ
ควบคุม
ตามมาตรา43 ของพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 เป็นผู้มีสิทธิในการประกอบวิชาชีพ ซึ่งได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานในตำแหน่งครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น
ทั้งนี้เป็นไปตาม มาตรา53 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่กำหนดให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา
ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ทั้งของรัฐและเอกชนต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ยกเว้นบุคลากร
ทางการศึกษาที่จัดการศึกษาตามอัธยาศัยการจัดการศึกษาในศูนย์การเรียนผู้บริหารการศึกษาระดับเหนือเขตพื้นที่การศึกษา
และวิทยากรพิเศษทางการศึกษา รวมทั้งคณาจารย์ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระดับปริญญา
ประเภทของใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพที่จะออกให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา มี 4 ประเภท คือ
1.ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
2.ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา
3.ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา
4.ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพบุคลากรทางการศึกษาอื่น
การขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาต
ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ได้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ วันที่ 9 ธันวาคม 2547
และกำหนดให้เวลาผู้ประกอบวิชาชีพอยู่ ในปัจจุบันซึ่งได้แก่ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา
ผู้บริหารการศึกษา ยื่
นคำแบบคำขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตภายใน 120 วัน ซึ่งมีแนวทาง ดำเนินการดังนี้
1.ครูซึ่งเป็นสมาชิกคุรุสภาตาม พ.ร.บ.ครู2488 อยู่ก่อนวันที่
12 มิถุนายน 2546 (วันที่พ.ร.บ.สภาครูฯ
ใช้บังคับ) ซึ่งได้แก่ ข้าราชการครู ข้าราชการครูกรุงเทพมหานคร พนักงานครูเทศบาล และครูโรงเรียนเอกชน
ให้ยื่นแบบคำขอโดยไม่ต้องแสดงวุฒิปริญญาทางการศึกษา
2.ครูซึ่งบรรจุแต่งตั้งให้ทำการสอนตั้งแต่วันที่พ.ร.บ.สภาครูฯใช้บังคับ (วันที่ 12 มิถุนายน
2546) เป็นต้นมา
และครูอัตราจ้างให้ยื่นแบบคำขอได้โดยจะต้องแสดงวุฒิปริญญาทางการศึกษา หรือปริญญาอื่นที่ ก.ค. กำหนดเป็นวุฒิที่
ใช้ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูด้วย
3.ครูซึ่งประกอบวิชาชีพอยู่ก่อนวันที่ พ.ร.บ.สภาครูฯ ใช้บังคับ(วันที่ 12 มิถุนายน 2546)ต่อมาลาออกหรือเกษียณอายุหรือพ้นจากหน้าที่
ครูถ้าหากประสงค์จะขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพให้ยื่นแบบคำขอโดยไม่ต้องแสดงวุฒิปริญญาทางการศึกษา
4.ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น (ที่ ต้องมีใบอนุญาต) ให้ยื่นแบบคำขอมีใบอนุญาตโดยจะต้องขอมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และใบอนุญาตประกอบวิชาชีพที่ตนประกอบวิชาชีพอยู่
ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นอีก
5.ผู้ที่ยังไม่ ได้เป็นครูแต่มีความประสงค์จะขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ให้ยื่นแบบคำขอ
พร้อมทั้งแสดงวุฒิปริญญาทางการศึกษาหรือปริญญาอื่นที่ ก.ค. กำหนดให้วุฒิที่ ใช้ในการบรรจุ และแต่งตั้งเป็นข้าราชการครู
เอกสารหลักฐานประกอบการยื่นแบบคำขอ
1.สำเนาทะเบียนบ้านหรือบัตรประจำตัวประชาชน
สำเนาบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ
2.สำเนาบัตรสมาชิกคุรุสภาหรือหนังสือรับรองการเป็นสมาชิกคุรุสภาตาม พ.ร.บ.ครู พ.ศ.2488 หรือหลักฐานอื่น
เช่น บัตรประจำตัว คำสั่งบรรจุแต่งตั้ง หรือหนังสือรับรองของผู้บังคับบัญชาเป็นต้น (ผู้ที่เป็นครูตั้งแต่วันพ.ร.บ.ประกาศใช้
หรือครูอัตราจ้างไม่ต้องแสดงบัตรการเป็นสมาชิกคุรุสภา
3.รูปถ่ายหน้าตรงครึ่งตัวไม่สวมแว่นตาดำ ขนาด 1 นิ้วถ่ายไว้ไม่เกิน
6 เดือน จำนวน 2 รูป
4.หลักฐานแสดงวุฒิปริญญาทางการศึกษา หรือปริญญาอื่นที่ ก.ค. กำหนดเป็นวุฒิที่ ใช้ ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครู (สำหรับผู้ที่ เป็นครูตั้งแต่ วันที่ 12
มิถุนายน 2546 เป็นต้นมา ฉบับละ 500 บาท
อายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา กำหนดไว้ตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพ
พ.ศ.2547
ให้มีอายุใช้ได้คราวละ 5 ปี นับแต่วันออกใบอนุญาต ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษาจะต้องขอต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ก่อนวันหมดอายุใบอนุญาตไม่น้อยกว่า 180 วัน
คุณสมบัติของผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
1.มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ.2546
2.มีมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
3.มีผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน
4.ประพฤติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ
การปฏิบัติราชการของข้าราชการครู
ระเบียบการลา
การลาแบ่งออกเป็น
๑๑ ประเภท ดังต่อไปนี้
(๑) การลาป่วย
(๒) การลาคลอดบุตร
(๓) การลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
(๔) การลากิจส่วนตัว
(๕) การลาพักผ่อน
(๖) การลาอุปสมบทหรือการลาไปประกอบพิธีฮัจย์
(๗)
การลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล
(๘) การลาไปศึกษา ฝึกอบรม ปฏิบัติการวิจัย
หรือดูงาน
(๙) การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ
(๑๐) การลาติดตามคู่สมรส
(๑๑) การลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ
การลาป่วย
ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาป่วยเพื่อรักษาตัว
ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชา ตามลําดับจนถึงผู้มีอํานาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลา เว้นแต่ในกรณีจําเป็น จะเสนอหรือจัดส่งใบลา ในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการก็ได้ ในกรณีที่ข้าราชการผู้ขอลามีอาการป่วยจนไม่สามารถจะลงชื่อในใบลาได้
จะให้ผู้อื่นลาแทนก็ได้ แต่เมื่อสามารถลงชื่อได้แล้ว
ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาโดยเร็ว การลาป่วยตั้งแต่ ๓๐
วันขึ้นไป
ต้องมีใบรับรองของแพทย์ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนและ
รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแนบไปกับใบลาด้วย
ในกรณีจําเป็นหรือเห็นสมควรผู้มีอํานาจอนุญาตจะสั่งให้ใช้ใบรับรองของแพทย์อื่นซึ่งผู้มีอํานาจอนุญาตเห็นชอบแทนก็ได้
การลาป่วยไม่ถึง
๓๐ วัน ไม่ ว่าจะเป็นการลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งติดต่อกัน ถ้าผู้มีอํานาจอนุญาตเห็นสมควร จะสั่งให้มีใบรับรองของแพทย์ตามวรรคสามประกอบใบลา หรือสั่งให้ผู้ลาไปรับการตรวจจากแพทย์ของทางราชการเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตก็ได้
การลาคลอดบุตร
ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาคลอดบุตร ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลําดับจนถึงผู้มีอํานาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลา เว้นแต่ไม่สามารถจะลงชื่อในใบลาได้ จะให้ผู้อื่นลาแทนก็ได้ แต่เมื่อสามารถลงชื่อได้แล้ว ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาโดยเร็ว โดยไม่ต้องมีใบรับรองของแพทย์ การลาคลอดบุตรจะลาในวันที่คลอด ก่อน
หรือหลังวันที่คลอดบุตรก็ได้ แต่เมื่อรวมวันลาแล้ว ต้องไม่เกิน ๙๐ วัน ข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาคลอดบุตรและได้หยุดราชการไปแล้ว แต่ไม่ได้คลอดบุตรตามกําหนด
หากประสงค์จะขอยกเลิกวันลาคลอดบุตรที่หยุดไป ให้ผู้มีอํานาจอนุญาตอนุญาตให้ยกเลิกวันลาคลอดบุตรได้
โดยให้ถือว่าวันที่ได้หยุดราชการไปแล้วเป็นวันลากิจส่วนตัว การลาคลอดบุตรคาบเกี่ยวกับการลาประเภทใดซึ่งยังไม่ครบกําหนดวันลาของการลาประเภทนั้นให้ถือว่าการลาประเภทนั้นสิ้นสุดลง
และให้นับเป็นการลาคลอดบุตรตั้งแต่วันเริ่มวันลาคลอดบุตร
การลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปช่วยเหลือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตร ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลําดับจนถึงผู้มีอํานาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลาภายใน ๙๐
วัน นับแต่วันที่คลอดบุตร และให้มีสิทธิลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ ไม่เกิน ๑๕ วันทําการ ผู้มีอํานาจอนุญาตตามวรรคหนึ่งอาจให้แสดงหลักฐานประกอบการพิจารณาอนุญาตด้วยก็ได้
การลากิจส่วนตัว
ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลากิจส่วนตัว ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชา ตามลําดับจนถึงผู้มีอํานาจอนุญาต
และเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะหยุดราชการได้
เว้นแต่มีเหตุจําเป็นไม่สามารถรอรับอนุญาตได้ทัน
จะเสนอหรือจัดส่งใบลาพร้อมระบุเหตุจําเป็นไว้ แล้วหยุดราชการไปก่อนก็ได้ แต่ จะต้องชี้แจงเหตุผลให้ผู้มีอํานาจอนุญาตทราบโดยเร็ว
ในกรณีมีเหตุพิเศษที่ไม่อาจเสนอหรือจัดส่งใบลาก่อนตามวรรคหนึ่งได้ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลา พร้อมทั้งเหตุผลความจําเป็นต่อผู้บังคับบัญชาตามลําดับจนถึงผู้มีอํานาจอนุญาตทันทีในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการ
ข้าราชการที่ลาคลอดบุตร
หากประสงค์จะลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตร ให้มีสิทธิลาต่อเนื่องจากการลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน
๑๕๐ วันทําการ(ไม่รับเงินเดือน)
การลาพักผ่อน
ข้าราชการมีสิทธิลาพักผ่อนประจําปีในปีงบประมาณหนึ่งได้ ๑๐
วันทําการ เว้นแต่ข้าราชการดังต่อไปนี้ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจําปีในปีที่ได้รับบรรจุเข้ารับราชการยังไม่ถึง
๖ เดือน
(๑)
ผู้ซึ่งได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครั้งแรก
(๒) ผู้ซึ่งลาออกจากราชการเพราะเหตุส่วนตัว
แล้วต่อมาได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีก
(๓) ผู้ซึ่งลาออกจากราชการเพื
่อดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแล้วต่อมา ได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีกหลัง ๖ เดือน
นับแต่วันออกจากราชการ
(๔)
ผู้ซึ่งถูกสั่งให้ออกจากราชการในกรณีอื่น
นอกจากกรณีไปรับราชการทหารตามกฎหมาย ว่าด้วยการรับราชการทหาร และกรณีไปปฏิบัติงานใด
ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการ แล้วต่อมาได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีกถ้าในปีใดข้าราชการผู้ใดมิได้ลาพักผ่อนประจําปี
หรือลาพักผ่อนประจําปีแล้วแต่ไม่ครบ ๑๐ วันทําการ
ให้สะสมวันที่ยังมิได้ลาในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อ ๆ ไปได้
แต่วันลาพักผ่อนสะสมรวมกับ วันลาพักผ่อนในปีปัจจุบันจะต้องไม่เกิน ๒๐
วันทําการ
สําหรับผู้ที่ได้รับราชการติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑๐
ปี ให้มีสิทธินําวันลาพักผ่อนสะสม รวมกับวันลาพักผ่อนในปีปัจจุบันได้ไม่เกิน ๓๐
วันทําการ
ให้ข้าราชการที่ประจําการในต่างประเทศในเมืองที่กําลังพัฒนาซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาค แอฟริกา
ลาตินอเมริกา และอเมริกากลาง หรือเมืองที่มีความเป็นอยู่ยากลําบาก เมืองที่มีภาวะ ความเป็นอยู่ไม่ปกติ และเมืองที่มีสถานการณ์พิเศษ มีสิทธิลาพักผ่อนประจําปีในปีหนึ่งได้เพิ่มขึ้นอีก ๑๐ วันทําการ
สําหรับวันลาตามข้อนี้มิให้นําวันที่ยังมิได้ลาในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อไป การกําหนดรายชื่อเมืองตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีประกาศ กําหนดอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ตามลําดับจนถึงผู้มีอํานาจอนุญาต
และเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะหยุดราชการได้ การอนุญาตให้ลาพักผ่อน
ผู้มีอํานาจอนุญาตจะอนุญาตให้ลาครั้งเดียวหรือหลายครั้ง ก็ได้ โดยมิให้เสียหายแก่ราชการ ข้าราชการประเภทใดที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาและมีวันหยุดภาคการศึกษา หากได้ หยุดราชการตามวันหยุดภาคการศึกษาเกินกว่าวันลาพักผ่อนตามระเบียบนี้ ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนตามที่กําหนดไว้ในส่วนนี้
การลาอุปสมบทหรือการลาไปประกอบพิธีฮัจย์
ลาอุปสมบท
หรือลาไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ เมืองเมกกะ
ประเทศซาอุดีอาระเบีย ส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลําดับจนถึงผู้มีอํานาจพิจารณาหรืออนุญาตก่อนวันอุปสมบทหรือก่อนวันเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ไม่น้อยกว่า
๖๐ วัน ในกรณีมีเหตุพิเศษไม่อาจเสนอหรือจัดส่งใบลาก่อนตามวรรคหนึ่ง ให้ชี้แจงเหตุผลความจําเป็นประกอบการลา
และให้อยู่ในดุลพินิจของผู้มีอํานาจพิจารณาหรืออนุญาตที่จะพิจารณาให้ลาหรือไม่ก็ได้
ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาอุปสมบทหรือได้รับอนุญาตให้ลาไปประกอบพิธีฮัจย์จะต้องอุปสมบทหรือออกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ภายใน ๑๐ วันนับแต่วันเริ่มลา และจะต้องกลับมารายงานตัวเข้าปฏิบัติราชการภายใน
๕ วันนับแต่วันที่ลาสิกขา หรือวันที่เดินทางกลับถึงประเทศไทยหลังจากการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ทั้งนี้
จะต้องนับรวมอยู่ภายในระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตการลา ข้าราชการที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาอุปสมบทหรือได้รับอนุญาตให้ลา ไปประกอบพิธีฮัจย์และได้หยุดราชการไปแล้ว
หากปรากฏว่ามีปัญหาอุปสรรคทําให้ไม่สามารถอุปสมบท หรือไปประกอบพิธีฮัจย์ตามที่ขอลาไว้
เมื่อได้รายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติราชการตามปกติและขอยกเลิกวันลา ให้ผู้มีอํานาจ
พิจารณาหรืออนุญาตให้ยกเลิกวันลาอุปสมบทหรือไปประกอบพิธีฮัจย์โดยให้ ถือว่าวันที่ได้หยุดราชการไปแล้วเป็นวันลากิจส่วนตัว
การลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล
ข้าราชการที่ได้รับหมายเรียกเข้ารับการตรวจเลือก ให้รายงานลาต่อผู้บังคับบัญชา ก่อนวันเข้ารับการตรวจเลือกไม่น้อยกว่า ๔๘
ชั่วโมง ส่วนข้าราชการที่ได้รับหมายเรียกเข้ารับการเตรียมพลให้รายงานลาต่อผู้บังคับบัญชาภายใน ๔๘
ชั่วโมงนับแต่เวลารับหมายเรียกเป็นต้นไปและให้ไปเข้ารับการตรวจเลือก
หรือเข้ารับการเตรียมพลตามวันเวลาในหมายเรียกนั้นโดยไม่ต้องรอรับคําสั่งอนุญาต
และให้ผู้บังคับบัญชาเสนอรายงานลาไปตามลําดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงหรือหัวหน้าส่วนราชการในกรณีที่ข้าราชการตามวรรคหนึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงให้รายงานลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด
ถ้าเป็นหัวหน้าส่วนราชการให้รายงานลาต่อปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงแล้วแต่กรณี
เมื่อข้าราชการที่ลานั้นพ้นจากการเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพลแล้วให้มารายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติราชการตามปกติต่อผู้บังคับบัญชาภายใน ๗
วัน เว้นแต่กรณีที่มีเหตุจําเป็น
ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง หัวหน้าส่วนราชการ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดอาจขยายเวลาให้ได้แต่รวมแล้วไม่เกิน
๑๕ วัน
การลาไปศึกษา ฝึกอบรม
ปฏิบัติการวิจัย หรือดูงาน
ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปศึกษา ฝึกอบรม
ปฏิบัติการวิจัย หรือดูงาน ในประเทศหรือต่างประเทศ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลําดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการ ยกเว้นผู้ว่าราชการจังหวัด
หรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาอนุญาต การอนุญาตของหัวหน้าส่วนราชการตามวรรคหนึ่ง เมื่ออนุญาตแล้วให้รายงานปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง
แล้วแต่กรณี ทราบด้วย ในกรณีที่ข้าราชการตามวรรคหนึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด
ถ้าเป็นหัวหน้าส่วนราชการให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง
แล้วแต่ กรณี เพื่อพิจารณาอนุญาต
การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ
ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลําดับจนถึงรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อพิจารณาอนุญาต โดยถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกําหนดหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการไปทําการซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็
มเวลาราชการ ข้าราชการที่ลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศที่มีระยะเวลาไม่เกิน ๑ ปีเมื่อปฏิบัติงานแล้วเสร็จ
ให้รายงานตัวเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการภายใน ๑๕
วัน นับแต่วันครบกําหนดเวลาและให้รายงานผลเกี่ยวกับการลาไปปฏิบัติงานให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่กลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการการรายงานผลเกี่ยวกับการลาไปปฏิบัติงานตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้แบบรายงานตามที่กําหนด
การลาติดตามคู่สมรส
ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาติดตามคู่สมรส ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลําดับจนถึงปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง
แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาอนุญาตให้ลาได้ ไม่เกิน
๒ ปี และในกรณีจําเป็นอาจอนุญาตให้ลาต่อได้อีก ๒ ปี แต่เมื่อรวมแล้วต้องไม่เกิน ๔ ปี ถ้าเกิน ๔ ปีให้ลาออกจากราชการ
การลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ
ข้าราชการผู้ใดได้รับอันตรายหรือการป่วยเจ็บเพราะเหตุปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทําการตามหน้าที่ จนทําให้ตกเป็นผู้ทุพพลภาพหรือพิการ หากข้าราชการผู้นั้นประสงค์จะลาไปเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการฟื้นฟูสมรรถภาพที่จําเป็น ต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือที่จําเป็นต่อการประกอบอาชีพ แล้วแต่กรณี
มีสิทธิลาไปฟื้นฟู สมรรถภาพด้านอาชีพครั้งหนึ่งได้ตามระยะเวลาที่กําหนดไว้ในหลักสูตรที่ประสงค์จะลา
แต่ไม่เกิน ๑๒ เดือน ข้าราชการที่ได้รับอันตรายหรือการป่วยเจ็บจนทําให้ตกเป็นผู้ทุพพลภาพหรือพิการเพราะเหตุอื่น
นอกจากที่กําหนดในวรรคหนึ่ง
และผู้มีอํานาจสั่งบรรจุพิจารณาแล้วเห็นว่ายังสามารถรับราชการต่อไปได้
หากข้าราชการผู้นั้นประสงค์จะลาไปเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการฟื้นฟูสมรรถภาพที่จําเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ให้ผู้มีอํานาจพิจารณาหรืออนุญาตพิจารณาให้ลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพดังกล่าวครั้งหนึ่งได้ตามระยะเวลาที่กําหนดไว้ในหลักสูตรที่ประสงค์จะลา
แต่ไม่เกิน ๑๒ เดือน หลักสูตรตามวรรคหนึ่งและวรรคสองต้องเป็นหลักสูตรที่ส่วนราชการ หน่วยงานอื่นของรัฐ องค์กรการกุศลอันเป็นสาธารณะหรือสถาบันที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของทางราชการ เป็นผู้จัด หรือร่วมจัด
วินัยและการดำเนินการทางวินัย
วินัย : การควบคุมความประพฤติของคนในองค์กรให้เป็นไปตามแบบแผนที่พึงประสงค์
วินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา :ข้อบัญญัติที่
กำหนดเป็นข้อห้าม และข้อปฏิบัติตามหมวด
6 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ.2551
โทษทางวินัย มี 5 สถาน คือ
วินัยไม่ร้ายแรง มีดังนี้
1.ภาคทัณฑ์
2.ตัดเงินเดือน
3.ลดขั้นเงินเดือน
วินัยร้ายแรง มีดังนี้
4.ปลดออก
5.ไล่ออก
การว่ากล่าวตักเตือนหรือการทำทัณฑ์บน ไม่ถือว่าเป็นโทษทางวินัย
ใช้ในกรณีที่เป็นความผิด เล็กน้อยและมีเหตุอันควรงดโทษ การว่ากล่าวตักเตือนไม่ต้องทำเป็นหนังสือ แต่การทำทัณฑ์บนต้องทำเป็นหนังสือ (มาตรา 100 วรรคสอง)
โทษภาคทัณฑ์ :ใช้ลงโทษในกรณีที่ เป็นความผิดเล็กน้อยหรือมีเหตุอันควรลดหย่อน ไม่ต้องห้ามการเลื่อนขั้นเงินเดือน
โทษตัดเงินเดือน
และลดขั้นเงินเดือน : ใช้ลงโทษในความผิดที่
ไม่ถึงกับเป็นความผิดร้ายแรง และไม่ ใช่กรณีที่เป็นความผิดเล็กน้อย
โทษปลดออก
และไล่ออก ใช้ลงโทษในกรณีที่เป็นความผิดวินัยร้ายแรงเท่านั้น การลดโทษความผิดวินัยร้ายแรง
ห้ามลดโทษต่ำกว่าปลดออก ผู้ถูกลงโทษปลดออกมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญเสมือนลาออก
ข้อควรคิด : การสั่งให้ออกจากราชการไม่ใช่
โทษทางวินัย
วินัยไม่ร้ายแรง ได้แก่
1.ไม่ สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วยความบริสุทธิ์ใจ
2.ไม่ ปฏิบัติหน้าที่ ราชการด้วยความซื่
อสัตย์สุจริต เสมอภาค และเที่ยงธรรม ต้องมี ความวิริยะ อุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร ดูแลเอาใจใส่ รักษาประโยชน์ของทางราชการ และต้องปฏิบัติตนตามมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพ
3.อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจและหน้าที่ราชการของตนไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมหาประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น
4.ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบแบบแผนของทางราชการ
และหน่วยงานการศึกษา มติ ครม.หรือนโยบายของรัฐบาลโดยถือประโยชน์สูงสุดของผู้เรียน และไม่
ให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ
5.ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย และระเบียบของทางราชการแต่ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นจะทำให้เสียหายแก่ราชการหรือจะเป็นการไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการจะเสนอความเห็นเป็นหนังสือภายใน
7 วันเพื่อให้ผู้บังคับ บัญชาทบทวนคำสั่งก็ได้ และเมื่อเสนอความเห็นแล้ว
ถ้าผู้บังคับบัญชายืนยันเป็นหนังสือให้ปฏิบัติ ตามคำสั่งเดิมผู้อยู่
ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตาม
6.ไม่ตรงต่อเวลา ไม่อุทิศเวลาของตนให้แก่ทางราชการและผู้เรียน ละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ ราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
7.ไม่ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน ชุมชน สังคม ไม่สุภาพเรียบร้อยและรักษา ความสามัคคี ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อผู้เรียนและข้าราชการด้วยกัน หรือผู้ร่วมงานไม่ต้อนรับหรือ ให้ความสะดวก ให้ความเป็นธรรมต่อผู้เรียนและประชาชนผู้มาติดต่อราชการ
8.กลั่นแกล้ง กล่าวหา หรือร้องเรียนผู้อื่นโดยปราศจากความเป็นจริง
9.กระทำการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาประโยชน์อันอาจทำให้เสื่อมเสียความเที่ยงธรรม หรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ในตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน
10.เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือผู้จัดการ หรือดำรงตำแหน่งอื่นใดที่มีลักษณะงานคล้ายคลึงกันนั้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท
11.ไม่วางตนเป็นกลางทางการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่ และในการปฏิบัติการอื่นที่เกี่ยวข้อง กับประชาชน อาศัยอำนาจและหน้าที่ราชการของตนแสดงการฝักใฝ่ส่งเสริม เกื้อกูล สนับสนุนบุคคล กลุ่มบุคคลหรือพรรคการเมืองใด
12.กระทำการอันใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว
13.เสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่
ใต้บังคับบัญชามีวินัยไม่ป้องกันมิให้ผู้อยู่ ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัย หรือละเลยหรือมีพฤติกรรมปกป้อง ช่วยเหลือมิให้ผู้อยู่
ใต้บังคับบัญชาถูกลงโทษทางวินัย หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวโดยไม่สุจริต
วินัยร้ายแรง ได้แก่
1.ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ
2.จงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ แบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษา มติ ครม.หรือนโยบายของรัฐบาล ประมาทเลินเล่อหรือขาดการเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการอันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
3.ขัดคำสั่งหรือหลีกเลี่ ยงไม่ ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่
ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
4.ละทิ้งหน้าที่หรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
5.ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า
15 วัน โดยไม่มีเหตุผล อันสมควร
6.กลั่นแกล้ง ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ หรือข่มเหงผู้เรียนหรือประชาชนผู้มาติดต่อราชการอย่างร้ายแรง
7.กลั่นแกล้ง กล่าวหา หรือร้องเรียนผู้อื่นโดยปราศจากความเป็นจริง เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับ ความเสียหายอย่างร้ายแรง
8.กระทำการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาประโยชน์อันอาจทำให้เสื่อมเสียความเที่ยงธรรม หรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ในตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยมุ่งหมายจะให้เป็นการซื้อขาย หรือให้ได้รับ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหรือวิทยฐานะใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นการกระทำอันมีลักษณะ เป็นการให้หรือได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิประโยชน์อื่นเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับการบรรจุและแต่งตั้งโดยมิชอบ
9.คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบหรือนำเอาผลงานทาง วิชาการของผู้อื่นหรือจ้าง วานใช้ผู้อื่นทำผลงานทางวิชาการ เพื่อไปใช้ในการเสนอขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะ หรือการให้ได้รับเงินเดือนในระดับที่สูงขึ้น
10.ร่วมดำเนินการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือรับจัดทำผลงาน ทางวิชาการ ไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ เพื่อให้ผู้อื่นนำผลงานนั้นไปใช้ประโยชน์เพื่อปรับปรุง การกำหนดตำแหน่ง เลื่อนตำแหน่ง
เลื่อนวิทยฐานะ หรือให้ได้รับเงินเดือนในอันดับที่สูงขึ้น
11.เข้าไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการทุจริตโดยการซื้อสิทธิหรือ ขายเสียงในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือการเลือกตั้งอื่น ที่มีลักษณะเป็นการส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยรวมทั้งการส่งเสริม สนับสนุน หรือ ชักจูงให้ผู้อื่นกระทำการในลักษณะเดียวกัน
12.กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำคุกหรือให้รับโทษที่ หนักกว่าจำคุกเว้นแต่
เป็นโทษสำหรับความผิดที่ ได้กระทำโดยประมาท หรือลหุโทษ หรือกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
13.เสพยาเสพติดหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นเสพยาเสพติด
14.เล่นการพนันเป็นอาจิณ
15.กระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เรียนหรือนักศึกษาไม่ว่าจะอยู่
ในความดูแลรับผิดชอบของตนหรือไม่
การดำเนินการทางวินัย
การดำเนินการทางวินัย กระบวนการและขั้นตอนการดำเนินการในการออกคำสั่งลงโทษ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีลำดับก่อนหลังต่อเนื่องกัน อันได้แก่ การตั้งเรื่องกล่าวหา การสืบสวนสอบสวน การพิจารณาความผิดและกำหนดโทษและการสั่งลงโทษ รวมทั้งการดำเนินการต่างๆ ในระหว่าง การสอบสวนพิจารณา เช่น การสั่งพัก การสั่งให้ออกไว้ก่อน
เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณา
หลักการดำเนินการทางวินัย
1.กรณีที่
ผู้บังคับบัญชาพบว่ าผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ใดกระทำผิดวินัยโดยมีพยานหลักฐาน ในเบื้องต้นอยู่แล้ว
ผู้บังคับบัญชาก็สามารถดำเนินการทางวินัยได้ทันที
2.กรณีที่มีการร้องเรียนด้วยวาจาให้จดปากคำ ให้ผู้ร้องเรียนลงลายมือชื่อ และวัน เดือน ปี พร้อมรวบรวมพยานหลักฐานอื่นๆ ประกอบการพิจารณาแล้วดำเนินการให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริง โดยตั้งกรรมการสืบสวนหรือสั่งให้บุคคลใดไปสืบสวนหากเห็นว่ามีมูล ก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ต่อไป
3.กรณีมีการร้องเรียนเป็นหนังสือ ผู้บังคับบัญชาต้องสืบสวนในเบื้องต้นก่อน หากเห็นว่า ไม่มีมูลก็สั่งยุติเรื่อง
ถ้าเห็นว่ามีมูลก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนต่อไป กรณีหนังสือร้องเรียนไม่ลงลายมือชื่อ และที่อยู่ของผู้ร้องเรียนหรือไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่แน่นอน
จะเข้าลักษณะของบัตรสนเท่ห์
มติ ครม. ห้ามมิให้รับฟังเพราะจะทำให้ข้าราชการเสียขวัญในการปฏิบัติหน้าที่
ขั้นตอนการดำเนินการทางวินัย
1.การตั้งเรื่องกล่าวหา
2.การแจ้งข้อกล่าวหา
3.การสอบสวน
การอุทธรณ์
มาตรา
121 และมาตรา 122 แห่
งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา
พ.ศ.2547
บัญญัติ
ให้ผู้ถูกลงโทษทางวินัยมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งลงโทษต่อ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ.
ที่ ก.ค.ศ. ตั้งแล้วแต่กรณี ภายใน
30 วัน
เงื่อนไขในการอุทธรณ์
ผู้อุทธรณ์ ต้องเป็นผู้ที่
ถูกลงโทษทางวินัยและไม่ พอใจผลของคำสั่งลงโทษผู้อุทธรณ์ ต้องอุทธรณ์เพื่อตนเองเท่านั้นไม่อาจอุทธรณ์แทนผู้อื่นได้ ระยะเวลาอุทธรณ์
ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ ได้รับแจ้งคำสั่งลงโทษ ต้องทำเป็นหนังสือ
การอุทธรณ์โทษวินัยไม่ร้ายแรง การอุทธรณ์คำสั่งโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือนที่ผู้บังคับบัญชาสั่งด้วย อำนาจของตนเอง ต้องอุทธรณ์ต่อ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาหรือ อ.ก.ค.ศ. ส่วนราชการ เว้นแต่
การสั่งลงโทษตามมติให้อุทธรณ์ต่อก.ค.ศ.
การอุทธรณ์โทษวินัยร้ายแรง การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่
ออกจากราชการ
ต้องอุทธรณ์ต่อ
ก.ค.ศ. ทั้งนี้ การร้องทุกข์คำสั่งให้ออกจากราชการ หรือคำสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน
ก็ต้อง ร้องทุกข์ต่อ ก.ค.ศ. เช่นเดียวกัน
การร้องทุกข์
หมายถึง ผู้ถูกกระทบสิทธิหรือไม่ ได้รับความเป็นธรรมจากคำสั่งของฝ่ายปกครอง หรือ
คับข้องใจจากการกระทำของผู้บังคับบัญชา ใช้สิทธิร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ขอให้เพิกถอนคำสั่ง หรือทบทวนการกระทำของฝ่ายปกครองหรือของผู้บังคับบัญชา มาตรา 122 และมาตรา
123 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 บัญญัติให้ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการมีสิทธิร้องทุกข์ต่อ ก.ค.ศ. และผู้ซึ่งตนเห็นว่าตนไม่ ได้รับความเป็นธรรม หรือมีความคับข้องใจเนื่องจากการกระทำของผู้บังคับบัญชา หรือ กรณีถูกตั้งกรรมการสอบสวน
มีสิทธิร้องทุกข์ต่อ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ.ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือก.ค.ศ. แล้วแต่กรณี ภายใน 30 วัน
เหตุที่จะร้องทุกข์
(1)ถูกสั่งให้ออกจากราชการ
(2) ถูกสั่งพักราชการ
(3) ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
(4) ไม่ ได้รับความเป็นธรรม หรือคับข้องใจจากการกระทำของผู้บังคับบัญชา
(5) ถูกตั้งกรรมการสอบสวน
การเลื่อนขั้นเงินเดือน
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนในแต่ละครั้ง ต้องอยู่ ในเกณฑ์
ดังนี้
1.ในครึ่งปีที่แล้วมามีผลการปฏิบัติงาน ความประพฤติในการรักษาวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพอยู่
ในเกณฑ์ที่สมควรได้เลื่อนขั้นเงินเดือน
2.ในครึ่งปีที่แล้วมาจนถึงวันออกคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนไม่ถูกลงโทษทางวินัยที่หนักกว่าโทษ ภาคทัณฑ์ หรือถูกลงโทษในคดีอาญาให้ลงโทษในความผิดที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือ ความผิดที่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนซึ่งไม่ไช่ความผิดที่
ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
3.ในครึ่งปีที่แล้วมาต้องไม่ถูกสั่งพักราชการเกินกว่าสองเดือน
4.ในครึ่งปีที่แล้วมาต้องไม่ขาดราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
5.ในครึ่งปีที่แล้วมาได้รับการบรรจุเข้ารับราชการมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสี่เดือน
6.ในครึ่งปีที่
แล้วมาถ้าเป็นผู้ได้รับอนุญาตไปศึกษาในประเทศ ฝึกอบรม และดูงาน ณ ต่างประเทศ ต้องได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการในครึ่งปีที่แล้วมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสี่เดือน
7.ในครึ่งปีที่แล้วมาต้องไม่ลาหรือมาทำงานสายเกินจำนวนครั้งที่หัวหน้าส่วนราชการกำหนด
8.ในครึ่งปีที่
แล้วมาต้องมีเวลาปฏิบัติราชการหกเดือน โดยมีวันลาไม่
เกินยี่สิบสามวัน แต่ ไม่รวมวันลา
ดังต่อไปนี้
1)ลาอุปสมบทหรือลาไปประกอบพิธีฮัจย์
2)ลาคลอดบุตรไม่เกินเก้าสิบวัน
3)ลาป่วยซึ่งจำเป็นต้องรักษาตัวเป็นเวลานานไม่ว่าคราวเดียวหรือหลายคราวรวมกันไม่เกินหกสิบวันทำการ
4)ลาป่วยเพราะประสบอันตรายในขณะปฏิบัติราชการตามหน้าที่หรือในขณะเดินทางไปหรือกลับจากการปฏิบัติราชการตามหน้าที่
5)ลาพักผ่อน
6)ลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล
7)ลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ
การฝึกอบรมและลาศึกษาต่อการฝึกอบรม
การฝึกอบรม หมายความว่า การเพิ่มพูนความรู้ความชำนาญ หรือประสบการณ์ด้วยการเรียน
หรือการวิจัยตามหลักสูตรของการฝึกอบรม หรือการสัมมนาอบรมเชิงปฏิบัติการ การดำเนินงานตาม โครงการแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศ การไปเสนอผลงานทางวิชาการ
และการประชุมเชิงปฏิบัติการ ทั้งนี้โดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพที่ ก.พ. รับรอง และหมายความรวมถึงการฝึกฝนภาษาและการรับคำแนะนำก่อนฝึกอบรมหรือการดูงานที่
เป็น ส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมหรือต่อจากการฝึกอบรมนั้นด้วย
การดูงาน หมายความว่า การเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ด้วยการสังเกตการณ์ และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น (การดูงานมีระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน ตามหลักสูตรหรือโครงการ หรือแผนการดูงานในต่างประเทศ หากมีระยะเวลาเกินกำหนดให้ดำเนินการเป็นการฝึกอบรม)
การลาศึกษาต่อ หมายความว่า การเพิ่มพูนความรู้ด้วยการเรียนหรือการวิจัยตามหลักสูตรของสถาบัน
การศึกษา หรือสถาบันวิชาชีพ เพื่อให้ได้มาซึ่งปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพที่ ก.พ. รับรอง และหมายความรวมถึงการฝึกฝนภาษาและการได้รับคำแนะนำก่อนเข้าศึกษา และการฝึกอบรม หรือการดูงานที่เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา
หรือต่อจากการศึกษานั้นด้วย
การออกจากราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาออกจากราชการเมื่อ(มาตรา 107 พ.ร.บ.ระเบียบ ข้าราชการครูฯ)
1)ตาย
2)พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
3)ลาออกจากราชการและได้รับอนุญาตให้ลาออก
4)ถูกสั่งให้ออก
5)ถูกสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออก
6)ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เว้นแต่
ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่นที่ ไม่ต้องมี
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
การลาออกจากราชการ
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดประสงค์จะลาออกจากราชการให้ยื่นหนังสือ ลาออกต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อให้ผู้มีอำนาจตาม มาตรา 53 เป็นผู้พิจารณาอนุญาต กรณีผู้มีอำนาจตาม มาตรา 53 พิจารณาเห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่ราชการจะยับยั้ง การอนุญาตให้ลาออกไว้เป็นเวลาไม่เกิน 90 วัน นับแต่วันขอลาออกก็ได้แต่ต้องแจ้งการยับยั้ง พร้อมเหตุผลให้ผู้ขอลาออกทราบ เมื่อครบกำหนดเวลาที่ยับยั้งแล้ว ให้การลาออกมีผลตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดเวลาที่ยับยั้ง ถ้าผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 ไม่ได้อนุญาตและไม่
ได้ยับยั้งการอนุญาตให้ลาออก ให้การลาออก
มีผลตั้งแต่วันขอลาออก
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดประสงค์จะลาออกจากราชการเพื่อดำรงตำแหน่ง
ทางการเมืองหรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้งให้ยื่นหนังสือลาออกต่อผู้บังคับบัญชา และให้การลาออกมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้นั้นขอลาออก
ระเบียบ ก.ค.ศ. ว่
าด้วยการลาออกของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2548 ข้อ 3 การยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการให้ยื่นล่วงหน้าก่อนวันขอลาออกไม่
น้อยกว่า 30 วัน กรณีผู้มีอำนาจอนุญาตการลาออกเห็นว่ามีเหตุผลและความจำเป็นพิเศษจะอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนวันขอลาออกให้ผู้ประสงค์จะลาออกยื่นหนังสือขอลาออกล่วงหน้าน้อยกว่า 30 วัน ก็ได้ หนังสือขอลาออกที่ยื่นล่วงหน้าก่อนวันขอลาออกน้อยกว่า 30วัน
โดยไม่ ได้รับอนุญาตเป็น ลายลักษณ์อักษรจากผู้มีอำนาจอนุญาต หรือที่มิได้ระบุวันขอลาออก ให้ถือวันถัดจากวันครบกำหนด 30 วัน นับแต่วันยื่นเป็นวันขอลาออก
กรณีที่ผู้ขอลาออกได้ออกจากราชการไปโดยผลของกฎหมาย เนื่องจากผู้มีอำนาจ อนุญาตมิได้มีคำสั่งอนุญาตให้ลาออกและมิได้มีคำสั่งยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกก่อนวันขอลาออกหรือเนื่องจากครบกำหนดเวลายับยั้งการอนุญาตให้ลาออกให้ผู้มีอำนาจอนุญาตมีหนังสือแจ้ง วันออกจากราชการให้ผู้ขอลาออกทราบภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการและแจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น