วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กสิกรรมของปู่เนตร..อาจารย์ปู่ทำสวน






ความทรงจำ “ลุง ผ.อ.”


ตอน กสิกรรมของปู่เนตร  เรืองไชย

ตอนย่อย   อาจารย์ปู่ทำสวน

----------------------------------------------------------------------

                ประมาณปี ๒๕๑๖  ปู่เนตร เรืองไชย ได้ย้ายมาประจำการเป็นข้าราชการครูชั้นตรี ที่โรงเรียนบ้านลูกเดือน ซึ่งโรงเรียนสมัยนั้นเป็นอาคารชั่วคราวกั้นฝาไม้ไผ่มุงสังกะสี อยู่ฝั่งซ้ายของลำน้ำสายเลือดใหญ่ของคนพนมคือลำคลองศกบนพื้นที่ของหมู่ที่ ๑๐ บ้านโกะกะ ต่อมา หน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ กรป.กลาง เข้ามาพัฒนาชักชวนชาวบ้านเปลี่ยนเป็น บ้านแสนสุขพัฒนา  ตอนหลังผู้บริหารหมู่บ้านยุคใหม่ ได้เปลี่ยนเป็นบ้านแสนสุขประชารักษ์ในปัจจุบัน (ปัจจุบัน คือ หมู่ที่ ๗ ตำบลพนม อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ขณะนั้นคุณทวดเนื่อง ย่องบุตร เป็นผู้ใหญ่บ้าน  ซึ่งเวลานั้นปู่เนตร กับย่าอิ้ว(ผ่องศรี) มีลูก ๔ คน คือลุง ผ.อ.  ลุงแอ๊ต  ป้าโอ๋  และลุงอ้น คนสุดท้อง ลุงยังอิจฉาเจ้าอ้นอยู่เลย ปู่เนตรตามใจมากขนาดเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ แล้ว ยังทำเหมือนลูกแดงควาย อ้อนพ่อแม่ พูดก็ทำพูดไม่ชัด  แต่ทำไงได้พี่ๆก็รุมตามใจน้องสุดท้องกันทั้งนั้น ช่วงนั้นเจ้าอ้นคล้ายๆเทวดาของคนในหมู่บ้านเพราะเป็นลูกคนสุดท้องของครูใหญ่ ใครๆก็เอ็นดู และตามใจทุกอย่าง(ถ้าเจ้าอ้นอยากได้เมียสงสัยพรรคพวกคงรีบหาให้แน่ด้วยความไม่อยากขัดใจ  อิอิ) แต่สรุปสุดท้าย “ย่าอิ้วสอนลูกเก่ง ย่าเป็นคนเข้มแข็ง และเข้มงวดมาก สอนให้ลูกๆรู้จักว่าใครเป็นพี่ ใครคือน้องน้องไม่มีสิทธิ์เถียงหรือต่อสู้กับพี่ชนะเลยถ้าหากย่าอิ้วอยู่ด้วย  และพี่ก็ต้องทำตัวให้เป็นที่พึ่งน้องๆได้ และต้องเป็นผู้เสียสละให้กับน้องๆ ก็ผลจากเรื่องนี้ทำให้ครองครัวเรืองไชยสายของปู่เนตรพี่น้องทุกคนยัง รัก สามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกันไม่มีเรื่องขัดแย้งกันในกลุ่ม พึ่งพากันมาตลอด (ลุงอยากให้แนวคิดย่าอิ้วในส่วนนี้คงไปตลอดในลูกหลานลุงทั้งในปัจจุบันถึงอนาคต (สาธุ สาธุ สาธุ)  เอ้ากลับมาร่องเดิมชักออกไปนอกเรื่องเดียวกันชะแล้ว  ขณะนั้นไม่ต้องถามถึงลูกปู่เนตร-ย่าอิ้ว หลานทวดอุ้ง ครอกหลัง ๒ คน โดยที่ลุง ๔ คน เขาเรียก ครอกแรก คนสุดท้องครอกแรก ลุงอ้นห่างจากคนหัวปีครอกหลัง ราวๆ ๑๐ กว่าปี (ลืมบอกไป รู้จัก คำว่า ครอก, ลูกแดงควายมั๊ย หากไม่รู้จักหลานๆค้นหาจาก ลุงกูเกิ้ลเอาเองนะ)  เห็นเขาว่าน่าจะเรียกลูกหลงนะ  อาอ้อ  อาโอม ยังไม่รู้อยู่รูพิภพไหนอยู่เลย อิอิ  ลุงสงสัยว่าฝึกงานเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ เพราะหากมาเกิดต้องคล้ายเทวดาแน่ เพราะเป็นลูกหลง เขาเรียกว่าลูกรุ่นหลาน  ต้องโดนเอาใจกันเป็นทิวแถวแน่ สมน้ำหน้า เจ้าอ้น หมดสิทธิ์โดนปลดออกจากตำแหน่งสุดท้องเสียที (คริ คริ)

                เอ็ก อี่ เอ้ก เอ้ก......เสียงแหลมเปี๊ยบแทรกในอนูบรรยากาศอันหนาวยะเยือก เป็นเสียงพ่อไก่อู พันธุ์พื้นเมืองสีเหลืองลายตอกหมาก ที่ย่าอิ้วเลี้ยงไว้ ให้กินเศษอาหาร ข้าวโพดพื้นเมืองที่ปลูกในไร่ก่อนหน๋ำข้าว(ทำไร่ข้าวหยอด) แต่ลุงเห็นบางครั้งลูกแดงควายอ้นแอบเขี่ยข้าวสวย ในจาน พร้อมคลุกแกงคั้วเผ็ดกบทูด(กบภูเขา) เลี้ยงพ่อไก่สุดที่รักบ้างเหมือนกัน  ย่าอิ้วเลี้ยงทั้งพ่อไก่อู แม่ไก่ ไก่แจ้ ลูกไก่ รวมๆแล้วสิบกว่าตัวแหละ  โก่งคอทำหน้าที่นาฬิกาปลุกตรงเวลาจริงๆทุกวันไม่เคยขี้เกียจ อยู่บนยอดตนมุดหรัง(ละมุดฝรั่ง หรือละมุดไทยไม่รู้ หาเอาเองจากลุงกูเกิ้ล ลูกรีๆผิวสีน้ำตาล ผลสุกหวานจัด) เจ้าโต้งตัวนี้ถืออภิสิทธิ์ว่าเป็นผู้นำไก่ทั้งฝูง ไม่ยอมนอนในโรงเรือนเล้าไก่ (อย่างว่าแหละผู้ยิ่งใหญ่ทำอะไรก็ถูกหมด ห้ามเถียง คุ คุ)  แต่ไอ้โต้งเอ๋ยเจ้าผยองไปเหอะ เจอเจ้ามูสัง(อีเห็น)ย่องเข้ามาเห็นบินป่าราบทุกที (สมน้ำหน้า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือ ลุง ผ.อ. ยังมี ป้า ผ.อ.เหม่ง อีกที อิอิ)  มองไปทางทิศที่คาดว่าดวงตะวันจะขึ้น  เห็นยอดเขานม(พนม)เป็นเงาทะมึน ซึ่งบางคนมองเห็นเป็นยอดนมสาวๆแหลมเปี๊ยบ  บางคนก็มองเห็นเป็นรูปมือที่ประนมหรือพนมเวลาไหว้    สุดแล้วแต่การพรรณาจินตนาการของแต่ละคน  แต่ถ้าถามความคิดจินตนาการของลุงในสมัยนั้นลุงอยู่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ อายุ ๑๐ ขวบปี โรงเรียนบ้านลูกเดือน คงนึกได้แต่นมหย่อนๆยานๆ ของย่าอิ้วเท่านั้นแหละ (ฮะฮะ นึกได้แต่นมแม่เท่านั้น)    เพราะเวลาไปเที่ยวปากคลองพนมที่ไหลมาลงที่คลองศกที่ใต้วัดพนม  เห็นน้ำจากคลองพนมมีสีขาวขุ่นคล้ายๆสีของน้ำนมแม่  พาลนึกไปถึงว่าน้ำในคลองนี้ต้องออกมาจากเขานมแน่ๆ  แสงสีทองพุ่งพรวดหลังยอดเขา  เป็นลำสู่ท้องนภา ผ่าไปในอากาศ ที่ปราศจาก ไฝฝ้า ราคีเมฆ  เห็นแต่ละอองน้ำค้างปิดกั้นเป็นม่านบางๆ  พรั่งพรายไปทั่วทุกทิศ  เลนส์สายตาสั้นๆที่บังอาจไม่ใส่แว่นโฟกัสไปหน้าสนามโรงเรียนบ้านลูกเดือนหลังใหม่(ปัจจุบัน)  ซึ่งมีหญ้าเตรย ที่คุณครูสอนให้เรียกว่าหญ้าเจ้าชู้  ที่อดีต ปู่เนตรไปนำเมล็ดหญ้ามาหว่านตอนสร้างโรงเรียนใหม่ๆ ตอนนี้เจริญงอกงามเต็มสนามหญ้าขนาดเล็ก  แถมออกดอกออกผลรบกวนผู้ใส่ถุงน่องถุงเท้า กางเกงขายาวมาก เดินผ่านชาติเจ้าชู้จริงๆเกาะติดทันที  เครื่องตัดหญ้าหาทำยายาก ก่อนเข้าห้องเรียน ทุกคนโดนคำสั่งครูใหญ่ตาทวดอุ้ง (อุทัย ปรัชญาภรณ์ หรือแป๊ะยี่)
พ่อของย่าอิ้ว  บังคับให้ถอนดอกหญ้าคนละ ๑๐ ดอก ไปทิ้งทุกคน ทุกวัน  แต่สมัยนั้นไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ เห็นว่าเป็นของสนุก ลุงกับเพื่อนๆในชั้นเรียน ๑๐ กว่าคน เช่น ลุงนะ ป้าเพ็ญ ลุงพัก ป้าอ้อน อานิยม ลุงสมรัก และคนอื่นๆ ช่วยถอนกัน แล้วแอบเอาไปทิ้งในกระเป๋าหนังสือเด็กผู้หญิง  สนุกสนาน อิอิ  สมัยนั้นรอบๆโรงเรียนเป็นป่าใหญ่ มีธรรมชาติสวยงาม อุดมสมบูรณ์กว่าอุทยานแห่งชาติ บางแห่งสมัยนี้เสียอีก มีสัตว์ป่า เก้ง กวาง กระจง อาศัยอยู่  คิดดูนะว่ายังบ้านนอกไกลปืนเที่ยงขนาดไหน งบประมาณก็ไม่มี คุณครูขณะนั้นนอกจากคุณครูตาทวดอุ้งครูใหญ่แล้ว ก็มีคุณตาครูวีรชัย วรรณศรี  คุณตาครูมาโนช คลล้ำ เป็นครูน้อย  บางครั้งบางวันก็มีย่าอิ้วรับหน้าที่เป็นครูช่วยสอน บ้าง เพราะย่ากำลังศึกษาด้วยตนเองสอบชุดครูอยู่ 

                หิ่งห้อย แมลงตัวน้อยๆที่หากินกลางคืน กระพริบแสง แข่งกับแสงดาว  หลงเพลินคงกลับรังที่นอนไม่ถูก แล้วมันจะนอนไหนละนี่  ๒-๓ ตัว หลงทำแสงอยู่หน้าสนามโรงเรียน หากดูตอนหัวค่ำ จะกระพริบเต็มพื้นที่สนามเลยล่ะ  สวยงามมาก  น่าพากิ๊กมานั่งดูล่ะ แต่ลุงพามาไม่ได้ ลุงยังเด็กหยู๋...อิอิ(เกิดเร็วกว่านี้สัก ๗ ปี ก็ไม่ได้) 

                ในครัวอยู่ท่อนท้ายของตัวบ้าน ได้กลิ่นควันไฟ จากถ่านไม้ หรือไม้ฟืนก็ไม่รู้กระจายไปทั้งตัวบ้าน  สงสัยว่าย่าอิ้วลุกขึ้นมาเตรียมหุงหาอาหาร  ทำกับข้าว  แบบเช็ดน้ำ บางคนไม่รู้จักอีกสิ  เวลาย่าอิ้วจะหุงข้าวก็ตวงข้าวกะประมาณให้คนทั้งบ้านกินกันอิ่ม  ใส่ในหม้ออลูมิเนียม ล้างข้าวสาร(ซาวข้าว)  แล้วเอาน้ำใส่พอสมควร แล้วนำขึ้นตั้งบนเตาถ่านที่ไปถ่านลุกแดง  สักพักหม้อข้าวเดือด (ชั่วหม้อข้าวเดือด เป็นหน่วยกะเวลา ของคนบ้านลุงเพราะสมัยนั้นนาฬิกาหาทำยายากเช่นกัน  เหมือนกับ หน่วยเวลาที่พวกลุงชอบพูดเวลาถามว่านานเท่าไร “ตดไม่ทันหายเหม็น”  หลานๆลองนึกดูสิหากตัวเองตดเมื่อไรจะหายเหม็น นั่นเลยใช่เลยแหละ คริ คริ) เพื่อให้ถูกความร้อนทั่วทั้งหม้อ ย่าก็ใช้ไม้หวักขัดหม้อกวน คนสียสองถึงสามครั้ง  เมื่อเช็กดูแล้วเม็ดข้าวสารส่วนใหญ่  พองได้ที่  ก็ปิดฝาเอาไม้ขัดหม้อ  นำไปรินน้ำทิ้ง  อีกบ แม่หมาในล่อน(พันธุ์พื้นเมือง วิ่งนมทั้ง ๒ ราว ยานโตงเตง มารับประทานอาหารเช้า โดยละเลียดซดน้ำข้าวที่เช็ดน้ำออก  เสียงดังฉับๆๆๆ  น่าเอร็ดอร่อยจริงๆ  โห...ย่าอิ้วรินน้ำทิ้งทำไมวิตามิน ของดีๆทั้งนั้น  ตาสิน  สาคร(ละทิ้งสังขารแล้ว)  พ่อของลุงชาติ (สุริยา สาคร หรือ เสือหวน) เล่าว่า สมัยคุณตาหนุ่มๆยังไม่มีเครื่องดื่มชูกำลังเหมือนสมัยนี้  คุณตาที่เป็นหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่สมัยนั้นรินน้ำข้าวใส่ขันน้ำ  หรือกะลามะพร้าวซีกตัวเมีย  แล้วมาเติมน้ำตาลทราย  ซดตบตูดด้วยใบกระท่อมที่เคี้ยวผสมน้ำตาลโมเลกุลเล็กๆในน้ำลายในช่องปาก  แล้วเป็นแรง(มีกำลัง)นักหนา  คุณตาสิน กับคุณตานับ กองกุล(ละทิ้งสังขารแล้ว) เรียกว่าดื่ม “กาแฟหมา”  และหากาแฟจริงๆทำยายากแถมพวกพ้องน้องพี่ในหมู่บ้านบางคนก็ไม่เคยเห็นว่าไอ้กาแฟเป็นอย่างไร  บางคนก็คิดว่ากินกาแฟต้องมีอุปกรณ์เหมือนถุงเท้า ตักกาแฟใส่ลงไป ใส่นมก็ใช้ได้  สรุปโดยเบ็ดเสร็จว่ามวลมหาประชาชนบ้านลุงสมัยนั้นไม่รู้จัก และไม่เห็นว่ากาแฟสำคัญอย่างไร  บ้านนอกมากมั๊ยล่ะ อิอิ  แต่บอกให้ก็ได้ว่าบ้านตานับ มีปลูกต้นกาแฟ เก็บลูกไปขายให้พ่อค้าที่ตลาดพุนพิน นะจะบอกให้  เห็นปู่เนตร ย่องมาคดข้าวใส่จาน  ที่ย่องคงกลัวลูกๆตื่น  นั่งลง  ย่าอิ้วตักแกงยอดเหลียง  ลุงขี้คร้านอธิบายหลานๆอาศัยค้นหาถามจากลุงกูเกิ้นเอานะว่าผักเหลียง คืออะไร  อีกถ้วยเห็นเป็นน้ำชุบหยิก  ไม่รู้จักสิ  (อิอิ สมน้ำหน้าอยากเกิดช้าทำไม)  เป็นน้ำพริกอย่างง่าย เอากะปิมานิด เอาพริกขี้หนูมาหน่อย ฝานหอมแดงใส่ไปนิด  แล้วใช้มือและเล็บหยิกพริกให้เป็นท่อนๆสักสองถึงสามท่อนต่อหนึ่งเม็ด  ผ่ามะนาวบีบใส่ลงไปสักซีกหนึ่ง (ถ้าฤดูระกำป่ารสเปรี้ยวจัดออกก็จะฝานเนื้อระกำแทนมะนาว ระกำ ลูกหวาย ลูกซำ ลูกเนียง มีเยอะชุกชุมมาก บอกแล้วว่า ขณะนั้นรอบบ้านอุดมสมบูรณ์มากกว่าอุทยานตอนนี้เสียอีก  นี่ยังไม่ได้โม้เลยนะว่า ตอนเย็นๆได้ยินเสียงฟาน (ถามลุงกูเกิ้ลดูว่าคล้ายกวางป่ะ) โพร่ง คือร้องนั่นแหละ ยามผีตากผ้าอ้อมน่ะ (เอ้าผีตายไปแล้วมันจะมีลูกอ่อนมาตากผ้าอ้อมทำไมอีกล่ะนี่...คุณลุง ผ.อ.ท่าจะเพี้ยนแล้วตั้งแต่มีผมสามสีนิ  ฮ่าฮ่า  ไม่เพี้ยนหรอกหลานเฮ้ย ยามที่ดวงตะวันเริ่มจะตกภูเขาหลังบ้านมีแสงสะท้อนแสงสีเหลืองทอง อ่อนๆมาจับบริเวณทิวป่าด้านตะวันออก เขาเรียกว่านามผีตากผ้าอ้อม  แบบว่าก่อนเวลาโพล้เพล้ นิดเดียวเอง  หรือบางคนที่มีอารมณ์สุนทรีย์ จะบอกว่าก่อนยามสนธยาก็บ่ผิดครับผม)  ทุกเย็นแถวๆควน (เนิน)จับนี(เนินจับชะนี)  ก็หน้าบ้าน  บางวันตาทวดแนบ  ศรีรักษา(คุณตาของลุงนะ)  ไม่มีอะไรทำกับข้าว  ถือปืนแก็ปคาบศิลาหายไปข้างบ้าน ราวๆ ๑๐ นาที ถือกระจงตัวอ้วนพีมาแล้ว

                “สวัสดีครับ  ท่านผู้ฟัง  ผมปรีชา  ทรัพย์โสภา  มาแล้วครับ.......” เสียงวิทยุทรานซิสสะเต้อใส่ถ่านไฟฉายแบ็ตเตอรี่แห้ง  ตราม้าขาว ๖ ก้อน  ดังลั่น แบบไม่ต้องเกรงใจใคร เพราะแถวนั้นไม่มีบ้านคนให้เกรงใจ  เวลานั้น คุณตา(เอ๊ะ..หรือว่าคุณทวด ดีนี่)ปรีชา  ทรัพย์โสภา แห่งสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย อ่านข่าวเช้าได้อารมณ์ท่านผู้ฟังไปทั้งประเทศไทย ผู้คนติดกันงอมแงมคล้ายๆเสพย์หวยบนดิน และหวยหุ้นรายวัน เหมือนเดี๋ยวนี้เลยล่ะ  ใครไม่รู้จัก “ปรีชา ทรัพย์โสภา” ในขณะนั้นนับได้ว่าเป็นคน ไกลปืนเที่ยง(หาคำแปลเอาจากลุงกูเกิ้ล), อยู่ในหมง(คำใต้ถามคนที่อยู่ปักษ์ใต้ที่นั่งข้างๆเอาเอง นะจ๊ะ)  อย่าแท้จริง  หากเทียบยาวไปสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ผู้คนคงติดใจเหมือนกลอนแปด เรื่องพระอภัยมณี(คนอะไรก็ไม่รู้ ปี่เลาเดียว ใช้รบก็ได้ ใช้กล่อมก็ได้ ใช้เกี้ยวผู้หญิงก็ได้ มิน่าล่ะท่านอภัยจึงมีกิ๊กเต็มบ้านเต็มเมือง แถมยังเป็นบุคคลอัจริยะสามารถตัดต่อยีนสายพันธ์ได้ก่อนนักวิทยาศาสตร์สมัยนี้เสียอีก ฮ่าฮ่าฮ่า) ของพระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่)แน่ๆ  เสียงของคุณตาปรีชา ค่อยๆดังน้อยห่างไปเรื่อยๆทางทิศตะวันขึ้น  หากเอกลักษณ์ของเอกบุรุษอย่างนั้นคงไม่มีใครหรอก “ปู่เนตร” นั่นเอง ฟังข่าวบ้านเมืองไปพลางเดินเท้าไปเรื่อยๆ ราวๆหนึ่งพันสองร้อยเมตร  จุดหมายปลายทาง  สวนผลไม้รวม ริมคลองศก เขตพื้นที่บ้านลูกเดือนล่าง หมู่ที่ ๙ (ปัจจุบัน หมู่ที่ ๖) ตำบลพนม อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี  งานประจำที่ปฏิบัติ คือ ถางหญ้า ปลูกพืชผักริมหาดคลองศก ไม้ที่ปลูกในสวนปู่เนตร ที่มองเห็นและสังเกตได้ เช่น ลางสาด ลองกอง เงาะพันธุ์โรงเรียน ทุรียน  ทำงานเรื่อยๆจนเวลา ๐๗.๐๐ น. ปู่เนตร บอกว่า “ไม่ต้องทำมากหรอกทำสวนนะ ทำวันละ ๑ ถึง ๒ ชั่วโมงก็พอแล้ว เช้าชั่วโมง เย็นอีก ๑ ชั่วโมง แต่ถ้าให้ดีต้องทำทุกวัน สม่ำเสมอ หลังจากเร่งเสียงวิทยุธานินทร์ให้เสียงดังเต็มที่แล้วก็จับไปแขวนไว้กับกิ่งไม้ใหญ่ ปู่เนตรก็ถอดเสื้อ นุ่งแต่ผ้าขะม้าผืนเดียว มือกำด้ามพร้า แผ้วถางวัชพืช ที่ไม่ได้เชิญให้มาร่วมสังฆกรรมออกเสียจากโคนต้นไม้ที่ปลูก  ปู้เนตรบอกกับลุง ผ.อ.ว่าสวนของพ่อปุ๋ยไม่ต้องใส่ เวลาน้ำหลาก ก็พัดพาฮิวมัส ปุ๋ยหน้าดินจากเหนือคลองมาติดเป็นปุ๋ยเอง  ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งต้องการสุขภาพทางใจเหมือนกัน พ่อเลยต้องเปิดวิทยุให้ดังให้มันได้ฟังเพลงบ้าง พระเทศน์บ้าง ตามที่เห็นต้นไม้ของปู่เนตรเจริญงอกงามดีมาก โดยเฉพาะเงาะนาสารพันธุ์โรงเรียน สองถึงสามต้น เรียบร้อยดีมาก คงได้รับเอาศีลที่พระให้ในวิทยุ ไม่ประพฤติผิดในกาม พุ่มใหญ่มีแต่ใบ หาผลไม่ได้มาหลายปีแล้ว เรียบร้อยมาก อิอิ) ปู่เนตรก็กลับมากินข้าวมื้อเช้าที่บ้าน  น้ำไม่ต้องอาบเพราะจมตัวในคลองศกที่สวนมาเรียบร้อยแล้ว(สวนแปลงที่ว่านี้ปัจจุบันอยู่ในครอบครองของลูกคนสุดท้อง ครอกที่สองของปู่เนตร คืออาโอม) แต่งตัว แล้วติดเครื่องขี่ไอ้หมีควายสีดำ ยี่ห้อฮอนด้า สองท่อไอเสีย ไปทำหน้าที่หลัก เป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนวัดพนม  และรักษาการครูใหญ่โรงเรียนพนมอีกโรงหนึ่ง(อยู่ในพื้นที่เดียวกัน)  วัดพนมเปิดสอน ป.๑ ถึง ป.๔ เรียกว่าประถมต้น และพนม เป็นโรงเรียนมัธยมสมัยย่าอิ้วเรียน ซึ่งขณะนั้นเป็นโรงเรียนใหญ่ยอดนิยมประจำอำเภอ เพราะอำเภอพนมตั้งอยู่ในบ้านพนมใน ภายหลังเปิดเป็น ป.๕ ถึง ป.๗ เรียกว่าประถมปลาย  พอสายหน่อยหนึ่ง “ย่าอิ้ว” ก็ไปรับช่วงทำงานในสวนต่อ  หากไม่มีชั่วโมงช่วยสอนในโรงเรียนบ้านลูกเดือน เพราะย่าอิ้วกำลังศึกษาด้วยตนเองสอบชุดครูอยู่

                เสียงปลาฮุบเหยื่อที่หลงตกลงมาเป็นอาหารมื้อเช้า  ใจกลางของหนอง ที่ผู้คนในสมัยนั้นเรียกว่าหนองจับช้าง เป็นหนองใหญ่น้ำลึก คิดว่าสมัยก่อนน่าจะเป็นร่องน้ำของคลองศกที่ผ่านมาทางนี้ พอหลายร้อยปีกระแสน้ำเปลี่ยนทิศ เลยเหลือเป็นแอ่งน้ำใหญ่กลางสวนของ ปู่เนตร และเสียงสะบัดน้ำดัง โผงผาง  สมัยนั้นคนที่กลัวผี จะไม่กล้าเดินผ่านเข้ามาใกล้ เพราะสภาพรอบหนองน้ำเป็นหญ้าอ้อยลิง(ตรงกูลต้นอ้อ) ที่ย่าอิ้วเรียกมันว่าต้นซ่อพง  ขึ้นเป็นดงใบคมมาก  และมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นคลุมร่มครื่ม บรรยายกาศอึมครึม น่ากลัว...ปรื้อ (ลุงเมื่อตอนเป็นเด็กไปคนเดียว จ้างก็ไม่ไป อิอิ) เขาเล่าว่าเจ้าที่เจ้าทางแรง น้ำลึกเขียวอื๋อเลย  สังเกตสักนิด จะเห็นว่าต้นมะเดื่อปล้องตัดกิ่งที่มีใบเยอะๆ  ติดวางอยู่ริมขอบบึงหนองจับช้าง  ไม่มีใครหรอก ฝีมือปู่เนตร แน่นอน  นำไปเลี้ยงหอย โข่ง หอยขม  ให้มากินแบบไม่อั้น  ถ้ามองให้ดีสักนิดก็จะเห็นตัวหอยแย่งกันขึ้นมาเกาะกิน เต็มไปหมด  นี่ก็คือกิจวัตรประจำวันตอนเย็นอีกครั้งชั่งโมงก่อนมืดของท่าน บางครั้งลุง ผ.อ. กับน้องๆ ทั้งสาม ก็ได้กินแกงหอยโข่งที่ปู่เนตรขอแบ่งมาจากเจ้าที่เจ้าทางในหนองจับช้างเป็นอาหารเมื้อเย็นด้วย งาที่อยู่ท้ายตัวกหอยแกงคั้วเผ็ดของย่าอิ้วอร่อยเหาะไปเลย หากบางวันมีเวลาปู่เนตรก็ทำพิธีขอปลาดุกจากเจ้าที่เจ้าทาง โดยเอาเนื้อหอยโข่งเสียบสายเอ็นที่มีเหล็กงอๆมีเงี่ยงนิดหน่อย หย่อนปักไว้สักครึ่งชั่วโมง ก็มีปลาดุกตาบอด ๒ ถึง ๓ ตัวโตๆไปฝากย่าอิ้วทำเป็นแกงคั่วปลาดุก เป็นอาหารมื้อเย็นได้แล้ว เป็นไงกสิกรรมปู่เนตรพอเพียงได้ป่ะ
 
 

ไม่มีความคิดเห็น: