“ลุงเล่า..เรื่อง...เที่ยวเกาะสีชังเดือนสิงหาคม...ให้หลานฟัง”
๑๑-๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๕
บรรยายและภาพโดย....นายปณิธาน เรืองไชย ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบางปรุ อ.พนม
เวลา ๑๘.๓๐ น.ถึงเมืองกาญจน์ แวะกินข้าวมื้อค่ำที่ในเมือง และเข้าที่พักริมแม่น้ำแควใหญ่ เวลา ๒๐.๓๐ น. โรงแรมบ้านสวนฝน ซึ่งบรรยากาศกึ่งสวนกึ่งที่พักแรม
อาทิตย์ที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕
เวลา ๐๖.๐๐ น. รับประทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมบ้านสวนฝนจัดให้ บริเวณริมแม่น้ำแควใหญ่กินบรรยากาศยามเช้าซึ่งสวยงามไปอีกแบบไม่มีความวุ่นวาย
เวลา ๐๗.๓๐ น. ออกเดินทาง ไปเยี่ยมชมสถานีรถไฟสายประวัติศาสตร์ของเมืองกาญจนบุรี มีการซื้อของที่ระลึก ถ่ายภาพกับบรรยากาศแบบโบราณสมัยสงครามโลก แวะชมสุสานสมัยสงครามโลก ซึ่งก็มีเรื่องเล่าให้ฟังพอประมาณ กล่าวคือ สุสานพันธมิตร-สะพานมรณะเหนือหลุมฝังศพทุกหลุมมีแผ่นทองเหลืองจารึก ชื่อ อายุ และประเทศของผู้เสียชีวิต บรรทัดสุดท้ายเป็นคำไว้อาลัย เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ หลังจากที่ญี่ปุ่นเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้ว กองทัพญี่ปุ่นได้ยึดครองดินแดนส่วนใหญ่ในเอเชียอาคเนย์ และ พ.ศ.๒๔๘๕ ญี่ปุ่นตัดสินใจใช้แรงงานเชลยศึกและพลเรือนสร้างทางรถไฟทางเดียวที่บ้านโป่งทางด้านตะวันออก เชื่อมกับสถานีรถไฟที่เมืองทันบูซายัดทางด้านตะวันตก เพื่อย่นระยะทางการเดินทาง และปกป้องเส้นทางการลำเลียงระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า การสร้างทางสายรถไฟ (หรือที่เรียกกันว่าทางรถไฟสายมรณะ) มีผู้เสียชีวิตที่เป็นเชลยศึกประมาณ ๑๕,๐๐๐ คน และพลเรือนอีก ๑๐๐,๐๐๐ คน เนื่องจากประสบโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ การขาดอาหาร ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย และการทารุณกรรม หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงครามได้ดำเนินการจัดสร้างอนุสรณ์สถานแด่ผู้เสียชีวิตขึ้น อยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี
เวลา ๑๒.๓๐ น. เข้าชม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวันหยุดติดต่อกันหลายวัน คนเยอะมากอีกทั้งทางจังหวัดจัดงานประจำปีด้วย ตรงนี้ก็พอค้นคว้ามาฝากกันได้บ้างพอสมควร
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือเรียกสั้นๆ ว่า "อยุธยา" ตั้งอยู่ในภาคกลางเป็นเมืองหลวงเก่าของไทย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ โดยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเด็จพระราคมธิบดีที่ ๑ ในเวลา ๔๑๗ ปีที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีกษัตริย์ปกครอง ๓๓ พระองค์ จาก ๕ ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทัย ราชวงศ์ปราสาททอง และราชวงศ์บ้านพลูหลวง นับเป็นราชธานีของไทยที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยเป็นราชธานีเก่าแก่กว่า ๗๐๐ ปี ได้รับจาก UNESCO เป็น มรดกโลก มีวัดและสถานที่ทางประวัติศาสตร์นับร้อยแห่ง
ตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปีที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแห่งราชอาณาจักรไทย มิได้เพียงเป็นช่วงแห่งความเจริญสูงสุดของชนชาติไทยเท่านั้น พื้นที่ส่วนหนึ่งใจกลางกรุงศรีอยุธยาที่ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๔ ณ กรุงคาร์เทจ ประเทศตูนีเซีย ซึ่งมีที่เที่ยวที่สำคัญเช่น
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสามพระยา
สถานที่น่าสนใจในพิพิธภัณฑ์ ได้แก่ พระพุทธรูประทับนั่งห้อยพระบาท เป็นพระพุทธรูปสมัยทวาราวดีที่เคยประดิษฐานในซุ้มพระสถูป โบราณวัดพระเมรุ จังหวัดนครปฐมซึ่งกรมศิลปากร ได้พยายามติดตาม ชิ้นส่วนต่าง ๆ ขององค์พระที่กระจัดกระจายไปอยู่ในที่ต่างๆ มาประกอบขึ้นเป็นองค์ได้อย่างสมบูรณ์ นับเป็นพระพุทธรูปที่มีค่ามากองค์หนึ่งเพราะในโลกมีเพียง ๖ องค์เท่านั้น เศียรพระพุทธรูปสัมฤทธิ์สมัยอู่ทอง มีขนาดใหญ่มาก ได้จากวัดธรรมมิกราช แสดงถึงความเก่าแก่ ของวัด และฝีมือการหล่อวัตถุ ขนาดใหญ่ในสมัยโบราณ นอกจากนี้ยังมีโบราณวัตถุที่ขุดพบอีกมากมายโดยเฉพาะที่ได้จากกรุวัดราชบูรณะรวบรวมไว้ในห้องมหรรฆภัณฑ์ มีเครื่องราชูปโภคทองคำทองกรพาหุรัตน์ ทับทรวง เครื่องประดับเศียรสำหรับชายและหญิง พระแสงดาบฝักทองคำประดับพลอยสีต่างๆ เป็นต้น แสดงความรุ่งเรืองของ กรุงศรีอยุธยาในอดีตไว้อย่างน่าชมน่าศึกษามาก
เรือนไทยโบราณ
ภายในเรือนไทย จะแสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่และของใช้ต่างๆ ในชีวิตประจำวันในสมัยก่อน เช่น ห้องครัว ห้องนอน ระเบียงนั่งเล่น
ภายในเรือนไทย จะแสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่และของใช้ต่างๆ ในชีวิตประจำวันในสมัยก่อน เช่น ห้องครัว ห้องนอน ระเบียงนั่งเล่น
ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวิหารพระมงคลบพิตร เป็นวัดสำคัญที่สร้างอยู่ในพระราชวังหลวงเทียบได้กับวัดพระศรีรัตนศาสดารามแห่งกรุงเทพมหานครหรือวัดมหาธาตุแห่งกรุงสุโขทัย ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสร้างพระราชมณเฑียรเป็นที่ประทับที่บริเวณนี้ ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงย้ายพระราชวังขึ้นไปทางเหนือและอุทิศที่ดินเดิมให้สร้างวัดขึ้นภายในเขตพระราชวังและโปรดเกล้าฯให้สร้างเขตพุทธาวาสขึ้น เพื่อเป็นที่สำหรับประกอบพิธีสำคัญต่างๆ จึงเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ต่อมาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระสถูปเจดีย์ใหญ่สององค์เมื่อ พ.ศ.๒๐๓๕ องค์แรกทางทิศตะวันออกเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระราชบิดา และองค์ที่สอง คือองค์กลางเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ พระบรมเชษฐา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๔๒ ทรงสร้างพระวิหารขนาดใหญ่และในปี พ.ศ.๒๐๔๓ ทรงหล่อพระพุทธรูปยืนสูง ๘ วา หุ้มด้วยทองคำหนัก ๒๘๖ ชั่ง (ประมาณ ๑๗๑ กิโลกรัม) ประดิษฐานไว้ในวิหาร พระนามว่า “พระศรีสรรเพชญดาญาณ” ซึ่งภายหลังเมื่อคราวเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าได้เผาลอกทองคำไปหมด ในสมัยรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญชิ้นส่วนชำรุดของพระประธานองค์นี้ลงมากรุงเทพฯและบรรจุชิ้นส่วนซึ่งบูรณะไม่ได้เหล่านั้นไว้ในเจดีย์องค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นแล้วพระราชทานชื่อเจดีย์ว่า “เจดีย์สรรเพชญดาญาณ”
สำหรับเจดีย์องค์ที่สามถัดมาทางทิศตะวันตก สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ (พระหน่อพุทธางกูร) พระราชโอรสได้โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เจดีย์สามองค์นี้เป็นเจดีย์แบบลังกา ระหว่างเจดีย์แต่ละองค์มีมณฑปก่อคั่นไว้ซึ่งคงจะมีการสร้างในราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และมีร่องรอยการบูรณะปฏิสังขรณ์หนึ่งครั้งในราวรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามได้มีการบูรณะเจดีย์แห่งนี้จนมีสภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระราชบิดา และองค์ที่สอง คือองค์กลางเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ พระบรมเชษฐา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๔๒ ทรงสร้างพระวิหารขนาดใหญ่และในปี พ.ศ.๒๐๔๓ ทรงหล่อพระพุทธรูปยืนสูง ๘ วา หุ้มด้วยทองคำหนัก ๒๘๖ ชั่ง (ประมาณ ๑๗๑ กิโลกรัม) ประดิษฐานไว้ในวิหาร พระนามว่า “พระศรีสรรเพชญดาญาณ” ซึ่งภายหลังเมื่อคราวเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าได้เผาลอกทองคำไปหมด ในสมัยรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญชิ้นส่วนชำรุดของพระประธานองค์นี้ลงมากรุงเทพฯและบรรจุชิ้นส่วนซึ่งบูรณะไม่ได้เหล่านั้นไว้ในเจดีย์องค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นแล้วพระราชทานชื่อเจดีย์ว่า “เจดีย์สรรเพชญดาญาณ”
สำหรับเจดีย์องค์ที่สามถัดมาทางทิศตะวันตก สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ (พระหน่อพุทธางกูร) พระราชโอรสได้โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เจดีย์สามองค์นี้เป็นเจดีย์แบบลังกา ระหว่างเจดีย์แต่ละองค์มีมณฑปก่อคั่นไว้ซึ่งคงจะมีการสร้างในราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และมีร่องรอยการบูรณะปฏิสังขรณ์หนึ่งครั้งในราวรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามได้มีการบูรณะเจดีย์แห่งนี้จนมีสภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปคุ้มขุนแผน วิหารพระมงคลบพิตรจะอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก พระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูปบุสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างในสมัยใด
วัดพระราม
ตั้งอยู่นอกเขต พระราชวัง ทางด้านทิศตะวันออก ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตรงข้ามกับวิหารพระมงคลบพิตร คาดว่าถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร ซึ่งเป็นบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑(พระเจ้าอู่ทอง) พระราชบิดา แต่พระองค์ทรงครองราชได้เพียงแค่ปีเดียว จึงเข้าใจกันว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ทรงได้ช่วยเหลือให้สร้าง จนสำเร็จก็ได้ หรืออาจจะสร้างเสร็จเมื่อสมเด็จพระราเมศวรเสวยราชย์ครั้งที่ ๒ ก็เป็นไปได้
จันทร์ ที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๕
แวะน้ำตกพลิ้ว จ.จันทบุรี ๑๖.๐๐ น. เข้าวัดเขาสุกิม จนถึง ๑๘.๐๐ น. เข้าพักโรงแรมราชัน เมืองจันทบุรี
อังคารที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๕
อังคารที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๕
เวลา ๐๗.๓๐ น. ออกจาที่พักจันทบุรี ถึงอ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เวลา ๑๐.๓๐ น.เข้าไร่องุ่นซิลเวอร์เลค(Silverlake )ของดารานางเอกรุ่นเก่า สุพรรษา เนื่องภิรมย์ ชมทิวทัศน์ซึ่งเบื้องหน้าเป็นผาเขาชีจรรย์ ไร่องุ่น Silverlake ผ่านประตูไร่เข้ามาก็รู้สึกเย็นสบายและ อากาศในไร่นี้แสนจะสดชื่นจริงๆ ภาพที่เห็นเหมือนกับเราได้ไปเที่ยวอยู่ในต่างประเทศ เพราะในไร่ มีสระน้ำ และรถม้าวิ่งอยู่บนถนนในไร่ และยังมีสิ่งก่อสร้างที่มีรูปทรงเป็นของประเทศฮอล์แลนด์ เป็นบ้านที่มีกังหันใบใหญ่ๆอยู่ใกล้ๆสระน้ำ สวยงามมาก ไร่องุ่นซิลเวอร์เลค เริ่มต้นการปลูกองุ่นสดไร้เมล็ด และองุ่นไวน์ ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๔๕ เป็นต้นมา และมีองุ่นทั้ง
หมด ๑๑ สายพันธุ์ แบ่งออกเป็นองุ่นสำหรับรับประทาน ๑๐ สายพันธุ์ และองุ่นไวน์ ๑ สายพันธุ์ โดยองุ่นแต่และสายพันธุ์จะให้ผลสลับสับเปลี่ยนกันไปตลอดทั้งปีในไร่ เค้าจัดเตรียมที่จอดรถไว้อย่างเป็นสัดเป็นส่วน และมีร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ทำมาจากไร่ เช่น น้ำองุ่น แยมองุ่น, ลูกเกด วุ้นองุ่น พายเคลือบองุ่น ไวน์ ถัดลงไปด้านล่างก็จะมีโซนอาหารและไอศครีมใว้บริการ และใกล้ๆกันยังมีกิจกรรมการขับรถ ATV บริการรถม้า บริการจักรยานเสือภูเขา ให้เที่ยวชมบรรยากาศภายในไร่ ให้ขี่ไปตามแนวปลูกองุ่น ในการนี้ลุงๆป้าๆที่ไปก็แค่ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้งซื้อผลิตภัณฑ์ฝากคนทางบ้าน
จากนั้นนั่งรถผ่านทะลุมา ผาเขาชีจรรย์ ซึ่งมีพื้นที่ติดกัน มีการจัดสร้างพระพุทธรูปแกะสลักในลักษณะพระพุทธฉายที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อให้เป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ ๙ และน้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติปีที่ ๕๐ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระพุทธรูปแกะสลักนี้เป็นพระพุทธรูปแบบ
ประทับนั่งปางมารวิชัย ว่ากันว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหา สังฆปริณายก เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเป็น สมเด็จพระญาณสังวร เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งทรงเสียดายเขาชีจรรย์ที่มีภูมิทัศน์ยิ่งใหญ่สง่างามตามธรรมชาติ แต่กำลังถูกระเบิดทำลายทุกวัน จึงทรงดำริที่จะอนุรักษ์เขาชีจรรย์ให้คงชื่ออยู่คู่กับเขาชีโอนซึ่งมีส่วนหนึ่งอยู่ในเขตสังฆาวาสของวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ด้วยการสร้างพระพุทธรูปแกะสลัก บนหน้าผาเขาชีจรรย์ ให้เป็น ปูชนียสถานสำคัญทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตพระราชทานนามพระพุทธรูปว่า " พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา " มีความหมายว่า " พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาที่รุ่งเรื่องสว่างประเสริฐ ดุจดังมหาวชิระ " และเวลา ๑๔.๑๕ น. แวะชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน เวลา ๑๖.๐๐ น. เข้าพักที่โรงแรมบางแสนวิลล่า อยู่ริมชายหาดทราย
ประทับนั่งปางมารวิชัย ว่ากันว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหา สังฆปริณายก เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเป็น สมเด็จพระญาณสังวร เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งทรงเสียดายเขาชีจรรย์ที่มีภูมิทัศน์ยิ่งใหญ่สง่างามตามธรรมชาติ แต่กำลังถูกระเบิดทำลายทุกวัน จึงทรงดำริที่จะอนุรักษ์เขาชีจรรย์ให้คงชื่ออยู่คู่กับเขาชีโอนซึ่งมีส่วนหนึ่งอยู่ในเขตสังฆาวาสของวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ด้วยการสร้างพระพุทธรูปแกะสลัก บนหน้าผาเขาชีจรรย์ ให้เป็น ปูชนียสถานสำคัญทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตพระราชทานนามพระพุทธรูปว่า " พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา " มีความหมายว่า " พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาที่รุ่งเรื่องสว่างประเสริฐ ดุจดังมหาวชิระ " และเวลา ๑๔.๑๕ น. แวะชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน เวลา ๑๖.๐๐ น. เข้าพักที่โรงแรมบางแสนวิลล่า อยู่ริมชายหาดทราย
และเวลา ๑๙.๐๐ น. มีงานเลี้ยงในวาระเกษียณอายุราชการให้กับ ผ.อ.วีรชัย วรรณศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนบ้านช่องม้าเหลียว และสิ้นสุดงานเลี้ยง ๒๓.๐๐ น.
พุธ ที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕
เวลา ๐๘.๐๐ น. ออกจากที่พักเพื่อไปขึ้นเรือที่ท่าเรือไปเกาะสีชัง อ.ศรีราชา เพื่อไปดูตัวอย่างโรงเรียนดีเด่น โรงเรียนเกาะสีชัง นั่งเรือเช่าเหมาลำ ถึงเกาะสีชัง เวลา ๑๑.๓๐ น. มี ผู้อำนวยการโรงเรียนมานั่งเรือเป็นเพื่อน ใช้เวลา ประมาณ ๕๐ นาที
โรงเรียนเกาะสีชังตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๗ เลขที่ ๕๘ ม. ๖ ต.ท่าเทววงษ์ อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี ตามประกาศของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาโดยเป็นการรวมเข้าด้วยกันระหว่าง โรงเรียนจุฑาทิศเทววงษ์ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนในระดับประถมศึกษา (ช่วงชั้นที่ ๑-๒) และโรงเรียนเกาะสีชังที่เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษา (ช่วงชั้นที่ ๓-๔) ซึ่งทั้งสองโรงเรียนได้ทำการเปิดสอนมาแล้วเป็นระยะเวลานานพอสมควร ปัจจุบัน โรงเรียนเกาะสีชังเป็นโรงเรียนที่สังกัดอยู่ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชลบุรีเขต ๓ เปิดสอนตั้งแต่ชั้น ป.๑-ม.๖ และเป็นโรงเรียนเพียงแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอเกาะสีชังโดยมี นายอดุลย์ สุขเจริญ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนและ นางวิญญา ผ่องใส รองผู้อำนวยการ
ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่ได้ไปเสาแสวงหามาพอรู้คร่าวๆดังนี้ เกาะสีชัง เป็นเกาะใหญ่ที่มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของชลบุรี อยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาประมาณ ๑๒ กิโลเมตร เป็นที่จอดพักเรือสินค้านานาชาติ และเป็นเกาะที่น่าท่องเที่ยวในบรรยากาศแบบท้องถิ่น ชุมชนเกาะสีชังอยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะ เป็นที่ตั้งของท่าเรือเทววงศ์ (ท่าล่าง) และเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางด้วยรถสามล้อเครื่องไปยังจุดอื่น ๆ บนเกาะสีชังจุดท่องเที่ยวบนเกาะสีชัง ได้แก่
ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ตั้งอยู่บนเขาห่างจากท่าเรือเทววงศ์ไปทางด้านเหนือของเกาะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพนับถือ ลักษณะเป็นถ้ำซึ่งดัดแปลงเป็นศาสนสถาน ที่ผสมผสานด้วยสถาปัตยกรรมจีนและไทย จากบริเวณศาลมองเห็นทิวทัศน์บ้านเรือนด้านหน้าเกาะได้ชัดเจน กว่าพวกลุงๆป้าๆขึ้นไปได้ได้กันคนละหลายเหงื่อเหมือนกัน แต่ก็คุ้มค่า
มณฑปรอยพระพุทธบาท อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขาเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รัชกาลที่ ๕ ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ บนยอดเขาเป็นจุดชมทิวทัศน์ทะเลได้โดยรอบ
ช่องเขาขาด ตั้งอยู่ด้านหลังของเกาะ หากนั่งเรือผ่านจะเห็นเป็นช่องเขา ในบริเวณมีสะพานสำหรับเดินชมทิวทัศน์ ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับชมทิวทัศน์ของรัชกาลที่ ๕ .ผอ.อดุลย์ได้จัดเลี้ยงอาหารกลางวันที่รีสอร์ทสีชังรีสอร์ท เป็นของ รอง ผอ.โรงเรียนเกาะสีชัง แล้วก็เดินชมวิวถ่ายภาพไว้อวดเด็กๆเป็นการย่อยอาหาร
พระจุฑาธุชราชฐาน ห่างจากท่าเทววงศ์ลงมาทางใต้ของเกาะ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน ภายในบริเวณมีสภาพภูมิทัศน์ที่งดงาม ด้านหน้าเป็นชายหาดท่าวัง ถัดขึ้นไปเป็นตึกวัฒนา พระตำหนักทรงปั้นหยา เรือนไม้ลวดลายขนมปังขิง ตึกผ่องศรีหรือศาลาแปดเหลี่ยม ตึกอภิรมย์ และวัดวัดอัษฎางค์นิมิตรบนยอดเขาซึ่งก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมตะวันตก
การเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังอยู่ห่างกันพอสมควร จะสะดวกมากหากจะเช่ารถสามล้อเครื่องจากท่าเทียบเรือไปชมสถานที่ต่าง ๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็เที่ยวได้ทั่วเกาะ ค่าเช่ารถสามล้อเครื่อง คิดเป็นรอบ ๆ ละประมาณ ๑๕๐-๒๕๐ บาท ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและระยะทาง คณะดูงานจากอำเภอพนม จ.สุราษฎร์ธานี เดินทางมาขึ้นเรือที่ท่าเรือเพื่อกลับฝั่งศรีราชา เวลา ๑๔.๑๐ น.
เวลา ๒๐.๐๐ น. ถึงกรุงเทพมหานคร เข้าพักที่ โรงแรมรอเยลแปซิฟิค เจ้าเก่า
พฤหัสบดี ที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๕
เวลา ๐๗.๐๐ น. ออกจากที่พัก เดินทางสู่โรงพยาบาล ศิริราช เพื่อ ถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี เวลา ๐๘.๐๐ น.ถึงตึก ๑๐๐ ปี ติดต่อเจ้าหน้าที่ และเวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. ร่วมกันถวายพุ่มดอกไม้ถวายพระพร ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก จุดนี้เป็นจุดซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายหลักในการมาดูงานในครั้งนี้ ก่อนขึ้นรถก็ถ่ายภาพร่วมแสดงความยินดีกับ ผอ.เจี๊ยบ แห่งบ้านแสนสุขที่เข้ารับพระราชทานปริญญาโท จากนั้นมุ่งหน้าสู่แดนใต้ กลับบ้านเรา ถึงพนม เวลา ๐๐.๒๐ น.............